จับตาหุ้นจีน-ฮ่องกงเชื่อมโยง 2 ตลาด

หลังจากเลื่อนแล้วเลื่อนอีก ในที่สุดโครงการ Shanghai–Hong Kong Stock Connect หรือการเชื่อมโยงระหว่างตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง ก็ได้เริ่มโครงการอย่างเป็นทางการเมื่อวันจันทร์ที่ 17 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยโครงการดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นจีนเป็นอย่างมากนับตั้งแต่เริ่มดำเนินการมา

สำหรับโครงการนี้นับเป็นมาตรการล่าสุดสำหรับการเปิดตลาดทุนจีนให้กับนักลงทุนต่างชาติ โดยหากย้อนกลับไปดูตั้งแต่เดือน เม.ย.ที่ผ่านมา เมื่อทางการจีนออกมาเปิดเผยถึงการจะนำโครงการนี้ออกมาปัดฝุ่น ดูเหมือนว่าดัชนีหุ้นจีนจะมีแรงหนุนมากกว่าดัชนีหุ้นฮ่องกง เนื่องจากตลาดฮ่องกงมีแรงกดดันจากการประท้วงของกลุ่มฝักใฝ่ประชาธิปไตย ทำให้ดัชนี CSI 300 ของตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นกว่า 15% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่ดัชนี Hang Seng ตอบรับเป็นบวกแค่ 4% (10 เม.ย.–17 พ.ย.)

อย่างไรก็ดี บรรยากาศการลงทุนในวันแรกที่โครงการเริ่มเปิด แม้จะดูคึกคักแต่กลับมีแรงเทขายทำกำไรออกมา ส่งผลให้ทั้งตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงปรับตัวลงเกือบตลอดทั้งสัปดาห์ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะนักลงทุนต่างรอดูท่าทีของตลาดว่าเงินจะไหลเข้าสู่จีนหรือฮ่องกงอย่างไร บวกกับแรงขายทำกำไรเนื่องจากมีการปรับตัวขึ้นในช่วงก่อนหน้า หากมาดูที่น้ำหนักการซื้อขาย จะเห็นได้ว่านักลงทุนต่างชาติและฮ่องกงเข้าซื้อหุ้นจีนในประเทศ (Northbound) มากกว่านักลงทุนจีนเข้าซื้อหุ้นฮ่องกง (Southbound) อย่างชัดเจน โดยในวันแรกโควตาการเข้าซื้อหุ้นจีนได้ถูกใช้จนหมดตั้งแต่ก่อนตลาดจะปิดทำการ เทียบกับโควตาการซื้อหุ้นฮ่องกงที่ถูกใช้ไปไม่ถึง 20% และลดลงเหลือน้อยกว่า 2% หลังจากเริ่มเปิดโครงการไปสัปดาห์กว่าๆ หรืออาจจะพูดได้ว่า หุ้นจีนในประเทศ ดูจะได้รับประโยชน์มากกว่าหุ้นฮ่องกง

อย่างไรก็ดี แม้ว่าในระยะสั้นตลาดจะตอบรับกับโครงการนี้ไม่มากนักเท่าที่นักลงทุนจับตามอง แต่สิ่งที่เราคาดว่าจะเกิดจากเชื่อมโยงนี้มี 2 เรื่องหลักๆ โดยประการแรก เรามองว่านักลงทุนจะเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมจากการ Arbitrage หรือการเก็งกำไรของส่วนต่างราคาหุ้น A-Share กับ H-Share มาเป็นการลงทุน หรือการถือในระยะยาวมากขึ้น ซึ่งจะช่วยทำให้ตลาดหุ้นจีนมีเสถียรภาพมากขึ้น กรณีตัวอย่างที่เห็นได้ชัด  คือ หุ้น 19 ตัวจาก 28 ตัวในดัชนี FTSE A50 ซึ่งมีการจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงด้วยนั้น (Dual Listed) มีราคาต่ำกว่าที่ควรจะเป็น (Trading at Discount) ซึ่งแน่นอนว่าราคาที่ถูกกว่าย่อมดึงดูดให้นักลงทุนเข้าซื้อและส่งผลให้โอกาสในการเก็งกำไรแคบลง หรือระดับราคาของหุ้นตัวเดียวกันในทั้งสองตลาดเข้าใกล้กันมากขึ้น นอกจากนี้เราอาจเห็นสภาพคล่องในตลาดหุ้นจีน  A-Share เพิ่มมากขึ้น โดยหากเปรียบเทียบในตลาดใหญ่ๆ ของโลกแล้ว ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้มีอัตราการการซื้อขาย (Turnover) สูงเป็นอันดับ 1 ที่ 291% ตลาดหุ้นเสิ่นเจิ้นอันดับ 3 ที่ 148% ขณะที่ตลาดหุ้นฮ่องกงยังอยู่ในระดับต่ำที่ 44% (ข้อมูลจาก CSOP Asset Management ณ 30 มิ.ย. 2557)

ทั้งนี้ หลังจากที่รัฐบาลจีนดำเนินมาตรการกับตลาดทุนไปเพียงสัปดาห์เดียว ก็ออกมาตรการผ่อนคลายในตลาดเงินทันที โดยธนาคารกลางจีนก็สร้างความประหลาดใจให้กับตลาด ด้วยการประกาศลดดอกเบี้ยลงครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2555 ทั้งดอกเบี้ยเงินฝากปรับลดเหลือ  2.75% จาก 3% และดอกเบี้ยเงินกู้ปรับลดเหลือ 5.6% จาก 6% เพื่อลดต้นทุนการกู้ยืมและกระตุ้นการลงทุนหลังเศรษฐกิจมีความเสี่ยงที่จะชะลอตัว นับว่าเป็นอีกปัจจัยบวกที่หนุนบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียในภาพรวม

บลจ.กสิกรไทยในระยะยาว 3-5 ปี ยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพของตลาดหุ้นจีนว่ายังมีแรงหนุนจากมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลจีนทยอยออกมาเป็นระยะ ด้านเศรษฐกิจจีนเองก็จะสามารถโตได้ตามเป้าหมายที่รัฐบาลจีนตั้งไว้ ในแง่ของราคาหุ้นก็ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในระยะยาวและอยู่ในระดับที่น่าดึงดูดจากนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะฮ่องกง

ในระยะสั้นปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตามอง คือ ความร้อนแรงของตลาดหุ้น A Share โดยตั้งแต่เริ่มมีการดำเนินการโครงการดังกล่าวอย่างเป็นทางการ (17 พ.ย.) ตลาดหุ้น A Share ปรับตัวขึ้นเกือบ 30% ภายใน 3 สัปดาห์ ขณะที่ตลาดหุ้นจีนที่ซื้อขายในฮ่องกง (H-Share) ปรับตัวขึ้นแค่ 10% ทำให้ระดับราคาของดัชนีหุ้น  A-Share ปรับตัวขึ้นมาเหนือค่าเฉลี่ยในอดีตแล้ว (P/E 13 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ย 12 เท่า) ขณะที่ดัชนี H- Share ยังมีระดับที่น่าสนใจอยู่ (P/E 8 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ย 9 เท่า) จึงเป็นไปได้ที่หุ้น A-Share จะปรับฐานลงระยะสั้น จึงต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากที่จะเข้าลงทุนตลาดหุ้นจีน โดยเฉพาะ A-Share ในช่วงนี้ (จัดทำ ณ วันที่ 8 ธ.ค.2557)