Thainess is Kindness ความเป็นไทย คือ น้ำใจไมตรี ..

ประโยคดังกล่าวข้างต้น คือ ส่วนหนึ่งของสุนทรพจน์ที่ผมได้มีโอกาสกล่าวในนามประเทศไทย ณ งานกาลาดินเนอร์ที่ทางรัฐสภาแห่งนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลียได้จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้แทนนานาชาติที่เข้าร่วมประชุม World Kindness Movement สมาพันธ์นานาชาติที่ไม่แสวงผลกำไร ก่อตั้งเมื่อปี  2543 ที่ประเทศสิงคโปร์ โดยการลงนามสนธิสัญญาจาก 7 ประเทศ เพื่อดำเนินกิจกรรมเพื่อส่งเสริมความเมตตาและปรารถนาดีต่อกันในสังคมตั้งแต่ระดับท้องถิ่น ระดับชาติไปจนถึงระดับนานาชาติ ปัจจุบันมีสมาชิกทั้งหมด 23 ประเทศจากทั่วโลก โดย ประเทศไทย ฝรั่งเศส และสหรัฐเป็นสมาชิกล่าสุด

จากการประชุมสมัชชาใหญ่ของประเทศสมาชิกใน World Kindnesss Movement ที่นครซิดนีย์ที่ผ่านมา ผมได้นำเสนอต่อที่ประชุมเกี่ยวกับแนวคิด Thailand the Land of Kindness ประเทศไทย คือ ดินแดนแห่งความเมตตา กรุณา โดยได้บอกเล่าและยกตัวอย่างความมีเมตตา กรุณา ความมีน้ำใจไมตรีของคนไทย ซึ่งปลูกฝังอยู่ในสายเลือด อยู่ในจิตวิญญาณและหัวใจคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติ ภัยธรรมชาติใดๆ ในประเทศไทยหรือนอกประเทศ คนไทยทุกสาขาอาชีพ ทุกเพศ ทุกวัย จะกระวีกระวาดลุกขึ้นมาช่วยกันดูแลช่วยเหลืออย่างสุดกำลัง ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์สึนามิที่ภาคใต้เมื่อหลายปีก่อน ทำให้เป็นที่กล่าวขานกันไปทั่วโลก ถึงความน่ารักและความเสียสละของคนไทยในการเข้าไปช่วยเหลือดูแลผู้ประสบภัยและเครือญาติ

เมื่อปี 2554 ที่ประเทศไทยได้เผชิญมหาอุทกภัยครั้งใหญ่เกือบค่อนประเทศราวสามเดือน ทั่วโลกได้ประจักษ์ถึงพลังแห่งน้ำใจคนไทยที่ลุกขึ้นมาช่วยเหลือดูแลซึ่งกันและกันอย่างเข้มแข็ง ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และหลายท่านคงยังไม่ลืมการปั้น EM Ball เพื่อช่วยแก้ปัญหาน้ำเน่า ในช่วงนั้นเราได้รับพลังจิตอาสาจากคนไทยทั่วประเทศช่วยกันปั้น EM Ball ได้ถึงสองล้านลูกในระยะเวลาไม่กี่วันเท่านั้น และเป็นครั้งแรกๆ ที่พี่น้องที่อยู่ต่างจังหวัดได้มีโอกาสส่งความช่วยเหลือมาให้คนกรุงเทพฯ นับเป็นความประทับใจและปลื้มใจอย่างยิ่ง!

ดังพระราชนิพนธ์แปลในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่องเวนิสวานิช จากวรรณกรรมโรแมนติกของวิลเลียม เชกสเปียร์ เรื่อง The Merchant of Venice ที่แต่งขึ้นราวปี 1596 ความว่า

... อันว่าความกรุณาปรานี    จะมีใครบังคับก็หาไม่

หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ    จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน ...

น้ำจิตน้ำใจของคนไทยก็เปรียบดั่งสายฝนแห่งความกรุณาปราณีที่รินหลั่งลงมาไม่เคยขาดสาย จากต้นสายธารแห่งน้ำพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกรัชกาล ทำให้เป็นวัฒนธรรมที่งดงามของคนไทย ที่สืบสานกันมาหลายชั่วอายุคน และล่าสุดเราได้เห็นพลังเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่เรียกว่า Gen A หมายถึงคนที่มี Active Heart หัวใจที่ไม่นิ่งดูดาย ไม่ทอดธุระ ไม่เอาแต่เรื่องของตัวเอง นำไปสู่ Active Mind จิตใจที่ใฝ่เรียนรู้ อยากเข้ามาช่วยเหลือแก้ไขปัญหา และท้ายสุดพัฒนาเป็น Active Citizen พลเมืองหัวใจอาสา ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่คนไทยควรช่วยกันลุกขึ้นมาสร้างประเทศไทยให้กลายเป็นประเทศต้นแบบของโลกด้านหัวใจอาสา

โดยไม่คาดฝัน จากสิ่งที่ผมได้นำเสนอในที่ประชุมสมัชชาใหญ่ของ World Kindness Movement ดังกล่าวข้างต้น ทำให้ไทยเป็นประเทศเดียวที่ได้รับเกียรติเป็นตัวแทนขององค์กรในการกล่าวสุนทรพจน์ที่รัฐสภาแห่งนิวเซาท์เวลส์ และผมได้เสนอแนวคิดในการจัดประชุมสุดยอดผู้นำโลก World Kindness Movement ว่าด้วยความเมตตากรุณาในปี 2558 ซึ่งที่ประชุมก็ตอบรับด้วยเสียงปรบมืออย่างกึกก้อง ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง ประเทศไทยจะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ในฐานะประเทศแรกของโลก เช่นเดียวกับแนวคิดเรื่องอาเซียนที่เกิดขึ้นโดยคนไทย และประเทศไทย เมื่อปี  2510 โดยเริ่มต้นจากเพียง 5 ประเทศเท่านั้น

หากเราหันไปมองดูสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นรอบโลกและในประเทศไทย ทุกคนคงเห็นด้วยว่า โลกของเรากำลังโหยหาความรัก ความเมตตา และสันติภาพไว้ในอ้อมแขน ผมจึงไม่แปลกใจที่ทั่วโลกจะมีมติให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมครั้งแรก เพราะความเมตตา คือ ภาษาที่คนหูหนวกสามารถได้ยิน และคนตาบอดสามารถมองเห็นได้ ดังอมตะวาจาของ มาร์ค ทเวน เมื่อพูดเรื่องนี้ใครๆ ชาติไหนก็เข้าใจ โดยเฉพาะพวกเราคนไทยยิ่งต้องเข้าใจชนิดฝังอยู่ในสายเลือด ด้วยความภาคภูมิใจว่าความเป็นไทย คือ น้ำใจไมตรี