ห้ามใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ขณะขับรถ
การใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ระหว่างขับรถถือว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 (9) แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 8 พ.ศ. 2551 ตามมาตรานี้ห้ามผู้ขับขี่รถใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ เว้นแต่การใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่โดยใช้อุปกรณ์เสริมสำหรับการสนทนาโดยผู้ขับขี่ไม่ต้องถือหรือจับโทรศัพท์เคลื่อนที่นั้น
การใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ระหว่างขับรถถือว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 (9) แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 8 พ.ศ. 2551 ตามมาตรานี้ห้ามผู้ขับขี่รถใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ เว้นแต่การใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่โดยใช้อุปกรณ์เสริมสำหรับการสนทนาโดยผู้ขับขี่ไม่ต้องถือหรือจับโทรศัพท์เคลื่อนที่นั้น
เหตุที่ต้องออกกฎหมายนี้ เพราะต้องการลดอุบัติเหตุบนท้องถนน
จากผลการทดสอบด้วยเครื่องจำลองการขับขี่ หากใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่จะทำให้การตอบสนองต่อการขับขี่ช้าลง ส่งผลต่อการแตะเบรก การจับพวงมาลัยมือเดียวอาจทำให้บังคับพวงมาลัยไม่ทัน ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย เพราะสมองของผู้ขับขี่จดจ่ออยู่กับการพูดคุย โดยหากระยะเวลาการตอบสนองของผู้ขับขี่เกิน 1 วินาที จะเป็นระยะเวลาที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ การใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ขณะขับรถทำให้ประสิทธิภาพการขับรถช้าลง 1.5 เท่า และอันตรายเทียบเท่ากับการดื่มแอลกอฮอล์
ปัจจุบันโทรศัพท์เคลื่อนที่มีความล้ำสมัยมาก มีเทคโนโลยีใหม่เปลี่ยนแปลงแทบทุกเดือน รวมถึงแอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้เป็นอย่างมาก เรียกว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่อาจเป็นปัจจัยที่ 5 ของคนบางคน จึงมีการประดิษฐ์อุปกรณ์เสริมต่างๆ เพื่อตอบสนองให้ทันกับการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ทุกเวลา เพื่อให้เข้ากับสังคมยุคโซเชียลมีเดีย เช่น สแตนดี้มือถือ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ยึดหรือตั้งโทรศัพท์มือถือไว้กับที่
การใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ในปัจจุบันจึงสุ่มเสี่ยงต่อการกระทำผิดกฎหมายเป็นอย่างมาก ทางกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ชี้แจงว่า กรณีรถติดไฟแดงหรือรถติดก็ไม่สามารถใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ทุกกรณี ไม่ว่าจะหยิบมาโทร หรือเล่นเกม เฟซบุ๊ก หรือไลน์ เพราะถือว่าอยู่ระหว่างขับขี่เพราะเครื่องยนต์ยังติดอยู่ คนขับยังควบคุมรถอยู่ การใช้คอหนีบโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือให้คนอื่นถือโทรศัพท์เคลื่อนที่มาแนบหูให้ก็ผิด ที่ทำได้คือเปิดลำโพงให้เสียงดังแล้ววางไว้ให้เป็นที่เป็นทางก่อนสนทนา หรือใช้อุปกรณ์เสริม เช่น สายฟัง หรือบลูทูธ จึงจะไม่ผิดกฎหมาย หากฝ่าฝืนต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ 4001,000 บาท
นอกจากนี้ การใช้สแตนดี้มือถือหากใช้โดยเปิดลำโพงเสียงเพื่อการสนทนาถือว่าไม่ผิดกฎหมาย แต่ถ้าใช้เพื่อโปรแกรมแชทที่เป็นการสนทนาโดยพิมพ์ข้อความถือว่ามีความผิด เช่นเดียวกับการใช้เพื่อดูข้อมูลต่างๆ ผ่านทางอินเทอร์เน็ตก็ถือว่ามีความผิดเช่นกัน เนื่องจากทำให้เสียสมาธิในการขับขี่ เพราะต้องละสายตาจากท้องถนน และไม่มีสมาธิในการควบคุมพวงมาลัย
สำหรับขั้นตอนการจับผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่คือ (1) เจ้าหน้าที่ตำรวจจะบันทึกภาพผ่านทางกล้องถ่ายรูปแบบเอสแอลอาร์/SLR กล้องดิจิทัลหรือกล้องโทรศัพท์เคลื่อนที่ (2) ใช้ภาพที่บันทึกได้เป็นหลักฐานก่อนการเขียนใบเทียบปรับ (3) ผู้กระทำผิดที่ได้รับใบปรับต้องมาเสียค่าปรับภายใน 7 วันตามที่กฎหมายระบุไว้
นับแต่นี้ต่อไปนักแชททั้งหลายควรเลิกแชทในขณะขับขี่ ควรต้องเคารพกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดอุบัติเหตุที่อาจนำมาซึ่งความเสียหายต่อตนเองและผู้อื่น
สำหรับการใช้สแตนดี้มือถือมีข้อน่าพิจารณา คือ อุปกรณ์ตัวนี้เมื่อใส่โทรศัพท์เคลื่อนที่เข้าไปเพื่อดูทิศทาง ก็ถือได้ว่ามีการดูข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตซึ่งมีความผิด และเมื่อนำการใช้ลักษณะนี้ไปเปรียบเทียบกับอุปกรณ์ที่เรียกว่า “เครื่องนำทางจีพีเอส” หรือ “เนวิเกเตอร์” ที่ติดตั้งมากับรถเพื่อใช้นำทางในขณะขับรถ ทำให้เดินทางไปยังที่หมายได้อย่างรวดเร็ว โดยระบบจะให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกเส้นทางที่สะดวกในการเดินทางได้ หรือเลือกเส้นทางที่สั้นที่สุด
การใช้อุปกรณ์นี้ไม่ถือว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.การจราจรทางบก แต่การใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ติดกับสแตนดี้มือถือ โดยติดไว้ที่คอนโซลหรือพวงมาลัยเพื่อดูแผนที่กลับมีความผิด
แสดงว่า พ.ร.บ.จราจรทางบกที่แก้ไขปรับปรุงใหม่ ยังถือว่าล้าสมัยก้าวตามไม่ทันเทคโนโลยีใหม่ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรแก้ไขกฎหมายหรือระเบียบเพื่อให้มีความสอดคล้องกันในทางปฏิบัติ


