posttoday

ตัดราคาฮอตยาว 12 เดือนได้ผลกว่าสะสมแต้ม/ผ่อน0%

20 สิงหาคม 2557

แม้หลังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. เข้ามาบริหารประเทศ ผลสำรวจที่ออกมา ปรากฏว่าความเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยในอีก 12 เดือนข้างหน้ามีแนวโน้มดีขึ้น แต่ขณะเดียวกันยังมีคนไทยอีกจำนวนมากที่ยังไม่เชื่อมั่นเศรษฐกิจไทย ไทยวิว ครั้งที่ 19 ได้เผยผลสำรวจพฤติกรรมคนไทย แนวโน้มตลาดสินค้าและบริการที่ฟื้นตัว รวมทั้งกลยุทธ์ปลุกยอดขาย ท่ามกลางกำลังซื้อที่ยังไม่กลับมาเต็ม 100%

แม้หลังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. เข้ามาบริหารประเทศ ผลสำรวจที่ออกมา ปรากฏว่าความเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยในอีก 12 เดือนข้างหน้ามีแนวโน้มดีขึ้น แต่ขณะเดียวกันยังมีคนไทยอีกจำนวนมากที่ยังไม่เชื่อมั่นเศรษฐกิจไทย ไทยวิว ครั้งที่ 19 ได้เผยผลสำรวจพฤติกรรมคนไทย แนวโน้มตลาดสินค้าและบริการที่ฟื้นตัว รวมทั้งกลยุทธ์ปลุกยอดขาย ท่ามกลางกำลังซื้อที่ยังไม่กลับมาเต็ม 100%

ดั่งใจถวิล อนันตชัย นายกสมาคมวิจัยการตลาดแห่งประเทศไทย (TMRS) เปิดเผยว่า ผลวิจัยไทยวิว พบว่า คนไทยมีความเชื่อมั่นสภาวะเศรษฐกิจดีขึ้นในอีก 12 เดือนข้างหน้า หรือระหว่างเดือน ก.ค. 2557-2558 หลังจากการเข้ามาของ คสช.เมื่อปลายเดือน พ.ค. ราว 33% โดยเชื่อว่า คสช.จะช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจ 19% และสร้างความเชื่อมั่นกลับคืนมาได้ถึง 16% นอกจากนี้มองว่าการเมืองเริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น 12% ขณะที่ความพร้อมต่อการจับจ่ายใช้สอยยังไม่ฟื้นตัวกลับมาเต็ม 100% แต่ดีขึ้นเทียบ 3 เดือนก่อน

สำหรับคนไทยที่ยังไม่มั่นใจต่อสภาวะเศรษฐกิจอีก 12 เดือนข้างหน้ามีสัดส่วนมากถึง 65% มาจากปัจจัยความไม่แน่นอนและความวุ่นวายทางการเมืองถึง 31% ในส่วนความกังวลใจผลกระทบเกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจ พบว่า คนไทยกังวลเกี่ยวกับราคาสินค้าและพลังงานขยับราคาสูงขึ้นถึง 91% ตามด้วยปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ 67% การมีเงินไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงชีพ และใช้จ่ายในด้านต่างๆ 61% และภาวะการว่างงาน 31% ส่วนผลกระทบของเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ทำให้คนไทยมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น เงินไม่พอใช้ในแต่ละเดือนถึง 59% อีกทั้งยังเป็นหนี้ในครัวเรือนเพิ่มขึ้น ไม่มีเงินออม 49%

นอกจากนี้ ยังได้ของที่คุณภาพไม่สมราคาถึง 10% และค่าครองชีพสูงขึ้น เกิดภาวะเงินเฟ้อ 10% ขณะเดียวกันยังก่อให้เกิดปัญหาภายในครอบครัว สุขภาพจิต 5% ในด้านปัญหาสังคม คนไทยต้องการให้เร่งแก้ปัญหาโดยเร็ว คือ อาชญากรรม 66% ความเสื่อมถอยด้านศีลธรรม 51% และปัญหายาเสพติด 38% ด้านชีวิต คนไทยมีความสุขต่อการใช้ชีวิตกับครอบครัว และต้องการเป็นที่ยอมรับของสังคม ขณะที่คนไทยมีความสุขน้อย เพราะสถานะการเงินไม่ดี 34% และปัญหาด้านสุขภาพ ความปลอดภัย 55%

ขณะที่ธุรกิจที่คาดว่าจะเริ่มฟื้นตัวได้ดี คือ กลุ่มธุรกิจการท่องเที่ยว สุขภาพ และการศึกษา อุปกรณ์ไอที หลังจากพบว่า คนไทยให้ความสนใจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวกับครอบครัว 54% การดูแลสุขภาพและความงาม 49% การศึกษา 49% และการใช้โซเชียลมีเดียมีเพิ่มขึ้น 49% อีกทั้งยังเป็นช่องทางการรับข่าวสาร ทั้งทางเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญมากขึ้นต่อชีวิตคนไทยถึง 73% เพราะเป็นการสื่อสารสองทาง ขณะที่ทีวีเริ่มมีบทบาทน้อยลง 70% ตามด้วยเว็บไซต์ขายสินค้า 60% และ ณ จุดขาย 57%

ทั้งนี้ พบว่า พฤติกรรมรับสื่อของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ผู้ประกอบการต้องหันมาให้ความสำคัญกับช่องทางการสร้างแบรนด์และสื่อสาร หรือกระทั่งขายสินค้า ทางออนไลน์และโซเชียลเน็ตเวิร์กเพิ่มขึ้น ในส่วนกลยุทธ์ตลาดเพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วง 12 เดือนข้างหน้า จากกำลังการซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัว โปรโมชั่นมีผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการมากที่สุด คือ การลดราคา ตามด้วยซื้อ 1 แถม 1 เพราะได้ทันที ไม่ต้องรอ ขณะที่การสะสมแต้มเพื่อแลกรับสิทธิพิเศษ แถมของสมนาคุณ และผ่อน 0% หรืออัตราดอกเบี้ยพิเศษ มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจน้อย

ดั่งใจถวิล กล่าวว่า เหตุผลที่ทำให้การทำโปรโมชั่นใช้ได้ผลดีในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เพราะผู้บริโภครู้สึกว่ารายได้ไม่พอจ่าย และเห็นว่าโปรโมชั่นมีประโยชน์ในแง่ช่วยลดค่าใช้จ่ายและแบ่งเบาภาระถึง 86% รวมทั้งช่วยทำให้ตัดสินใจซื้อสินค้าบริการง่ายขึ้น 84% อีกทั้งยังสร้างความคุ้มค่าคุ้มราคาให้กับสินค้าและบริการ 83% อย่างไรก็ตามการทำโปรโมชั่นที่จะประสบความสำเร็จ นอกจากจะกระตุ้นยอดขายแล้ว ต้องช่วยสร้างแบรนด์ เช่น ดึงผู้บริโภคมามีส่วนร่วมกับการชิงรางวัล หรือนำดารามาสร้างความเชื่อมโยงกับการขายสินค้า

ด้านโอกาสทำตลาดสินค้าไทยในอาเซียน หลังจากเหลือเพียง 4 เดือนเท่านั้น การประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี จะเริ่มขึ้น ดั่งใจถวิล กล่าวว่า ประเทศผู้ผลิตสินค้าถูกแบ่งเป็น 3 กลุ่ม โดยไทยและสิงคโปร์ถูกมองว่าเป็นประเทศผู้ผลิตสินค้าที่ดีเยี่ยมเป็นอันดับต้นๆ ของอาเซียน ส่วนกลุ่มที่ 2 คือ มาเลเซียกับเวียดนาม ขณะที่กลุ่มที่ 3 บรูไน อินโดนีเซีย ลาว กัมพูชา มองว่าสินค้ายังด้อยคุณภาพ

จากผลวิจัยยังพบว่า คนไทยมองสินค้าไทย 6 กลุ่ม ได้แก่ เสื้อผ้าแฟชั่น สินค้าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เครื่องสำอาง สินค้าเพื่อสุขภาพ อาหารสด และอาหารแห้ง มีประสิทธิภาพและเทคโนโลยีใน 10 ประเทศอาเซียน สะท้อนว่าคนไทยเชื่อมั่นสินค้าไทย ยกเว้นกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เป็นรองสิงคโปร์ ซึ่งเป็นตลาดที่ไทยต้องเร่งพัฒนาเพราะมองว่ายังมีช่องว่างให้ทำตลาดไทยและในอาเซียน

สิ่งที่ไทยต้องเร่งผลักดันเพื่อฉกฉวยโอกาสตลาดอาเซียน คือ รัฐบาลต้องวางนโยบายส่งเสริมการทำตลาดอาเซียนอย่างชัดเจน และมีความต่อเนื่อง ภาคเอกชนต้องสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างเอกลักษณ์ เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน

ดังนั้น โอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะขับเคลื่อนได้มากน้อยแค่ไหน รวมทั้งความเชื่อมั่นจะดีหรือไม่ กำลังซื้อของผู้บริโภคจะฟื้นได้ในอีก 12 เดือนข้างหน้า อยู่ที่การเมืองไทยล้วนๆ

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์ชู 3 แกนพัฒนาคน รับรางวัล HR Leader for Social Impact 2025