สิทธิชัย-พิษณุ แดงประเสริฐ "ลงทุนเจ็บแล้วจำ"

2 พี่น้องฝาแฝด “สิทธิชัย แดงประเสริฐ” ผู้อำนวยการด้านนวัตกรรม พี่ และน้อง “พิษณุ” กรรมผู้จัดการ บริษัท ซีดีไอพี (ประเทศไทย) หรือ CDIP บริษัทวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยา อาหารเสริมและสุขภาพ ที่อยู่ระหว่างการเตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ

ฝาแฝดคู่นี้คลุกคลีอยู่ในวงการตลาดทุนอยู่แล้วในฐานะผู้เข้าอบรมเรื่องการลงทุนทั้งในโครงการนักลงทุนรุ่นใหม่ (NIP) และโครงการ Young Financial Star Compettition ที่ต้องการเฟ้นหานักลงทุนรุ่นใหม่ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมาก่อน หลังจากนั้นก็เป็นนักลงทุนในสนามมาตั้งแต่เรียนปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ความที่เป็นลูกหลานชาวจีนและชอบค้าขายและลงทุน นอกจากจะออกบูธหรือหารายได้ในงานเกษตรแฟร์ของมหาวิทยาลัยตั้งแต่เรียนปริญญาตรีปี 1 แล้ว การลงทุนด้านตลาดหุ้นก็เป็นอีกทางหนึ่งที่ทั้งคู่ให้ความสนใจ

ทั้งคู่ลงทุนตามกันเป็นหลัก เหมือนแมลงเม่า 2 คนมานั่งคุยกัน แต่ว่าคนน้องจะเป็นคนที่ไปศึกษารายละเอียด เพราะจะอ่านงบการเงิน อ่านรายละอียด อ่านข่าว ตามติดธุรกิจ ว่าไรมาก็ว่างั้นตามกัน ได้ก็ได้พร้อมกัน เสียก็เสียพร้อมกัน

แต่ผลที่ได้แตกต่างกัน เพราะคนน้อง “พิษณุ” กล้าเสี่ยงมากกว่า เริ่มจากนำเงินที่เก็บได้ 5 หมื่นบาทไปลงทุนเล่นแบบระยะสั้นซื้อขายรายวัน ตามข่าวจากนักวิเคราะห์หรือตามหน้าหนังสือพิมพ์ต่างๆ เขาเล่นใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้นสามัญ (วอร์แรนต์) ก็ได้บ้างเสียบ้าง มูลค่าพอร์ตเพิ่มไปถึง 2 แสนบาท หลังจากนั้นเริ่มขยับไปลงทุนฟิวเจอร์สเพราะมองว่าสามารถลงทุนได้ทั้งภาวะตลาดขาขึ้นและขาลง แล้วก็เลือกไปเล่นฟิวเจอร์สแบบสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแบบรายตัว

พิษณุ เล่าว่า ลองเล่นอะไรแล้วก็ต้องเล่นให้สุด เพราะคิดว่าถ้าเล่นแล้วเจ๊งก็เจ๊งตั้งแต่อายุยังน้อย 32 ปี ก็เลยลองเล่นไปถึงการบัญชีสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จิ้น) ด้วย โดยจะเน้นเล่นทีละบริษัทแต่ต้องเป็นหุ้นพื้นฐานที่มีขนาดใหญ่และเป็นตัวนำอุตสาหกรรมและมีเรื่องราวที่จะเติบโตในอนาคต ซึ่งแต่ละบริษัทมักใช้เวลาในการลงทุนหรือถือเพื่อการลงทุนบริษัทละ 1 ปี

บริษัทแรกคือ บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล (JAS) เพราะตอนนั้นเพิ่งมีการลงทุนในบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 3BB จากนั้นก็เริ่มลงทุนใน บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) เพราะมีการขยายงานมาก แต่ตัวที่ทำให้แฝดผู้น้องต้องเจ็บตัวมากคือ บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) หรือ ESSO เพราะมีข่าวมาว่าจะมีการขายกิจการหรือร่วมทุนกับใคร แต่สุดท้ายต้องจบกับหุ้นตัวนี้เพราะถูกบังคับขายเงินที่เคยได้ถึง 23 ล้านบาท ต้องสลายไป

“เมื่อเข้าสู่วัยทำงานจะไม่มีเวลามานั่งดู ประชุมตลอด ทำให้ต้องพึ่งเจ้าหน้าที่การตลาดอย่างเดียว แต่สามารถรับความเสี่ยงได้เต็มที่เพราะรู้ว่าต้องการอยากได้ผลตอบแทนที่สูง ฉะนั้นความเสี่ยงก็จะสูงไปด้วย” พิษณุ กล่าว

แม้ทุกวันนี้ “พิษณุ” จะเข็ดขยาดกับการลงทุนในหุ้นและฟิวเจอร์ส โดยพักการลงทุนมาประมาณ 1 ปีแล้ว แต่สิ่งที่เสียคือเงิน แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือมันมีประโยชน์ได้มากกว่านั้น เพราะเท่ากับเป็นการสอนให้เขาได้อ่านข้อมูลในการเสนอขาย 561 ที่บริษัทนั้นต้องเปิดเผยทุกอย่างกับทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขณะเดียวกันการติดตามข้อมูลรายละเอียดและความคืบหน้าของแต่ละบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ทำให้ได้รู้ว่าบริษัทขนาดใหญ่เขามีการวางกลยุทธ์และการตลาดกันอย่างไร เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด

สำหรับคนพี่ “สิทธิชัย” แม้จะเจ็บตัวเหมือนกัน เมื่อราคาลงก็ไม่ขายตัดขาดทุนเพราะยังมีความหวังว่า ฟิวเจอร์สตอบสนองความต้องการเร็วจากเงินหมื่นเป็นเงินหลักแสนบาท และเพราะความที่ไม่มีเวลาช่วงที่เศรษฐกิจก็ถูกบังคับขายและถูกให้ปิดสถานะทำให้พอร์ตมีการขาดทุน แต่ยังมีพอร์ตหุ้นบ้าง และมีการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ด้วย คิดเป็นพอร์ตที่ใหญ่กว่าหุ้น

ทั้งคู่มองว่า การลงทุนต้องมีเวลาดูแล และควรกระจายพอร์ตการลงทุนและหันไปดูเรื่องการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ด้วย เพราะอย่างน้อยเชื่อว่าจะต้องชนะอัตราเงินเฟ้อทุกปี เนื่องจากราคาอสังหาริมทรัพย์จะปรับขึ้นทุกปี เท่ากับเป็นตัวการันตีว่าอย่างน้อยถือไปเรื่อยๆ ก็จะได้ส่วนต่างกำไรจากการลงทุนแน่นอน แต่การจะได้รับผลตอบรับที่ดีอย่างนั้นได้ต้องเกิดจากการเลือกทำเลที่ดีจริงๆ ประกอบกับพี่น้องใน 4 คน หากใครเจออสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมมาก็จะมาบอกกันและมักจะซื้อพร้อมกัน 4 คน แต่ละคนจะซื้อกี่ห้อง หรือพื้นที่เท่าไรขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล