แกะแพะกำราบหญ้า

เอ็ดดีย์ มิลเลอร์ เจ้าของธุรกิจเลี้ยงแกะและแพะในรัฐโอไฮโอ สหรัฐ วัย 27 ปี ได้ไอเดียทำธุรกิจเสริมหลังต้อนฝูงสัตว์เลี้ยงของตนเองไปเล็มหญ้าในทุ่งหลังบ้านของตนเอง โดยในระหว่างนั่งมองดูฝูงแกะและแพะแทะเล็มหญ้าอยู่นั้น มิลเลอร์รู้สึกทันทีว่าฝูงสัตว์เหล่านี้ทำงานไม่ต่างจากเครื่องตัดหญ้าที่บ้านหลายร้อยหลังในละแวกที่ตนอาศัยใช้กันอยู่

ต่างกันตรงที่ว่า ในขณะที่เครื่องตัดหญ้าต้องใช้น้ำมันและทำให้เกิดมลพิษมากขึ้น แกะและแพะเป็นเครื่องตัดหญ้าชีวภาพที่ต้องการพลังงานจากหญ้าและวัชพืชที่กินลงไป อีกทั้งยังได้ผลพลอยได้เป็นปุ๋ยบำรุงดินจากมูลของสัตว์เหล่านี้ที่ปล่อยออกมา

คิดได้ดังนี้แล้ว มิลเลอร์จึงตัดสินใจตั้งบริษัท เฮอร์ริเทจ ลอว์น มาววิง ธุรกิจใช้เช่าแพะและแกะเพื่อช่วยปรับภูมิทัศน์สวนรอบบ้านในปี 2009 โดยมิลเลอร์จะนำสัตว์เลี้ยงของตนเองไปที่บ้านหลังที่ต้องการว่าจ้างและปล่อยให้เหล่าสัตว์ขนปุยหน้าแหลมเหล่านี้แทะเล็มหญ้า วัชพืช และเมล็ดพันธุ์ รวมถึงดอกแดนเดเลียนที่ไม่เป็นที่ต้องการของสวนในบ้าน โดยจะใช้เวลาขั้นต่ำอย่างน้อย 3 ชั่วโมง ไปจนถึงหลายวัน ในการจัดการกับบรรดาวัชพืชทั้งหลาย ซึ่งจะมากหรือน้อยแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับขนาดของพื้นที่สวน

ทั้งนี้ ผลลัพธ์หลังจากเปิดให้บริการธุรกิจเสริมนี้ค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจ แต่ไม่ใช่ในเรื่องของรายได้ โดยมิลเลอร์ระบุว่าตนคิดสนนราคาค่าแพะและแกะที่ตัวละ 1 เหรียญสหรัฐต่อวันเท่านั้น กระนั้นสิ่งที่ได้มากกว่าก็คือการประหยัดต้นทุนค่าอาหารที่ใช้เลี้ยงสัตว์ในแต่ละเดือนแทน ขณะที่ลูกค้าก็ประหยัดค่าน้ำมันและได้เครื่องกำราบหญ้ารุ่นที่ไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากวนใจ เว้นก็แต่กลิ่นมูลสัตว์ไม่น่าอภิรมย์เล็กน้อยเป็นของแถมที่อุดมไปด้วยประโยชน์ต่อดินรอบบ้านแทน

จนถึงขณะนี้มิลเลอร์มีลูกค้าขาประจำแล้วมากกว่า 20 หลัง และปริมาณความต้องการใช้บริการยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนแพะและแกะที่เลี้ยงไว้แทบจะไม่เพียงพอตอบสนองความต้องการในปัจจุบัน จนมิลเลอร์ต้องตัดสินใจขยับขยายเพิ่มปริมาณแพะและแกะที่มีอยู่ในช่วงปีที่ผ่านมา พร้อมย้ำชัดเจนว่าไม่คิดจะเพิ่มค่าบริการแต่อย่างใด

“พวกมัน (แกะและแพะ) ทำให้ชีวิตชนบทมีสีสันมากขึ้น สอนให้เราตระหนักถึงวิถีชีวิตดั้งเดิมที่เป็นธรรมชาติแท้ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลางเศรษฐกิจถดถอยเช่นนี้ ความเรียบง่ายด้วยการหันมาพึ่งพาแนวทางธรรมชาติก็ถือเป็นเสถียรภาพความมั่นคงอย่างหนึ่งของชีวิตครับ” มิลเลอร์ กล่าวปิดท้ายต่อหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์