“ประกาศิต ทิตาราม” ลงทุนหุ้นสไตล์ Wave Riders
“ประกาศิต ทิตาราม” เจ้าของนามปากกา Wave Riders ที่ใช้เขียนบล็อกแบ่งปันมุมมองและความคิดในการลงทุน จนกระทั่งผลงานเข้าตาของ Stock2morrow จึงถูกชักชวนให้มาร่วมเป็นวิทยากรบรรยายความรู้ด้านการลงทุน และยังเป็นเจ้าของผลงานหนังสือแชร์ความรู้ด้านลงทุนอีก 2 เล่ม คือ “โต้คลื่นหุ้น รู้ทันเทคนิค” และ “โต้คลื่นหุ้น เทคนิคทำกำไรทะลุฟ้า”
“ประกาศิต ทิตาราม” เจ้าของนามปากกา Wave Riders ที่ใช้เขียนบล็อกแบ่งปันมุมมองและความคิดในการลงทุน จนกระทั่งผลงานเข้าตาของ Stock2morrow จึงถูกชักชวนให้มาร่วมเป็นวิทยากรบรรยายความรู้ด้านการลงทุน และยังเป็นเจ้าของผลงานหนังสือแชร์ความรู้ด้านลงทุนอีก 2 เล่ม คือ “โต้คลื่นหุ้น รู้ทันเทคนิค” และ “โต้คลื่นหุ้น เทคนิคทำกำไรทะลุฟ้า”
ประกาศิต เล่าให้ฟังว่า ทำธุรกิจกับครอบครัวคือ ธุรกิจจัดหางาน ทำให้มีเงินเก็บออม จึงหาโอกาสการลงทุนและมองไปที่ตลาดหุ้น ขณะที่ครอบครัวมีพอร์ตลงทุนในหุ้นอยู่แล้วขนาดใหญ่ ปัจจุบันมูลค่ามากกว่า 500 ล้านบาท โดยเริ่มลงทุนตั้งแต่ปี 2543 ซึ่งมีคุณพ่อเป็นคนดูแลหลัก ใช้แนวทางปัจจัยพื้นฐานวิเคราะห์งบการเงินและบริหารกันเองโดยคนในครอบครัว อีกส่วนว่าจ้างผู้จัดการกองทุนช่วยบริหาร
ปัจจุบัน ประกาศิตเป็นนักลงทุนวัย 43 ปี บอกกว่า เริ่มแยกพอร์ตส่วนตัวมาลงทุนเองเมื่อปี 2545 ในช่วงที่ดัชนีกำลังเป็นขาขึ้นจากระดับประมาณ 400500 จุด กำลังไต่ขึ้นไปที่ระดับ 1,6001,700 จุด เริ่มลงทุนโดยใช้แนวทางวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานงบการเงิน ซึ่งใช้แนวลงทุนนี้ประมาณ 1 ปี เป็นวิธีเดียวกับพอร์ตครอบครัว จากนั้นจึงเปลี่ยนมาใช้ปัจจัยเทคนิคเพื่อลงทุนในกลางปี 2546 เพราะคิดว่าปัจจัยพื้นฐานเพียงอย่างเดียวไม่เหมาะกับตัวเอง หลังจากได้เรียนด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิคอลกับอาจารย์วันชัย ธัญญศิริ เริ่มต้นด้วยเงินลงทุนราว 45 แสนบาท เป็นการทดลอง ซึ่งผลคือเหมาะกับจริตและนิสัยส่วนตัว จึงทยอยเพิ่มพอร์ตขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังใช้ความรู้ด้านเทคนิคดูพอร์ตของครอบครัวด้วย
ช่วงเริ่มต้นเล่นแบบถือใช้กราฟเทคนิคค่อนข้างยาวใช้กราฟรายวันและสัปดาห์ ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างดีใน 45 ปีแรก เพราะช่วงปี 25462548 ตลาดหุ้นอยู่ในช่วงขาขึ้นตลอด แต่หลังจากปี 25482551 ตลาดไม่ดีก็ขาดทุน จึงปรับสไตล์มาเทรดให้สั้นลง และยังมาศึกษาความรู้เรื่อง “สวิงเทรด” เพิ่มเติม ก็ประสบความสำเร็จพอสมควรแม้ในช่วงที่ตลาดดิ่งหนักมา 300 จุด ก็ไม่มีผลกระทบ ถือเป็นการยืนยันผลลัพธ์ความสำเร็จหนึ่งของแนวทางการลงทุนของตัวเอง
สำหรับการลงทุนโดยใช้เทคนิคอลทดลองมาหลายรูปแบบทั้งสั้น กลาง และยาว ปัจจุบันจะแบ่งพอร์ตเป็นส่วนๆ ทั้งพอร์ตเทรดระยะสั้นที่ความเหมาะสม คือจะถือเฉลี่ย 812 วัน ส่วนพอร์ตลงทุนระยะยาวที่เน้นการถืออยู่ด้วยราว 34 เดือน และยังมีพอร์ตส่วนที่ถือยาวเพื่อรับเงินปันผล โดยไม่ได้กำหนดสัดส่วนที่ชัดเจนขึ้นอยู่กับภาวะตลาด หากตลาดหุ้นเป็นขาขึ้นจะเน้นเทรดสั้นให้น้อยถือให้ยาวปล่อยให้ทำกำไรไปเรื่อยๆ โดยกลยุทธ์นี้ทำตั้งแต่ปี 25522555 พอร์ตสามารถเติบโตเฉลี่ยได้ถึง 100% ต่อปี แต่ในช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวนหรือแกว่งตัวลงเช่นช่วง 12 ปีที่ผ่านมา จะปรับกลยุทธ์มาเทรดให้สั้นลง ยังสามารถได้ผลตอบแทนประมาณ 20% ต่อปี สามารถชนะตลาดหุ้นได้ด้วย
อย่างไรก็ดี พอร์ตลงทุนรวมส่วนตัวมีนโยบายการลงทุนแบบอนุรักษ์จึงไม่ชอบความเสี่ยง ดังนั้นหุ้นจึงเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตที่ใช้สร้างเงินสด ซึ่งใช้จัดสรรไปลงทุนสินทรัพย์อื่นที่มีความเสี่ยงต่ำด้วย ทั้งออมในที่ดินราวสัดส่วน 10% ทองคำแท่งประมาณ 1020% ที่เหลือเป็นกองทุนรวมและพันธบัตร จึงคุมสัดส่วนลงทุนในหุ้นไว้ไม่เกิน 2025% ของพอร์ตรวม หากเริ่มเกินจะดึงเงินออกไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ เพราะมองหุ้นเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงสุด
ปัจจุบัน อยู่ระหว่างการปรับแผนการลงทุนในพอร์ตหุ้น มีเป้าหมายจะมีสร้างผลตอบแทนในอนาคตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 20% เพราะต้องการให้ในช่วง 45 ปีข้างหน้าพอร์ตมีขนาดใหญ่ขึ้นทั้งมูลค่าพอร์ตและสัดส่วนพอร์ต มีแผนจะขยับขึ้นเป็นสัดส่วน 50% ของพอร์ตรวม ซึ่งขณะนี้กำลังพิจารณารูปแบบที่เหมาะสม ด้วยขนาดพอร์ตหุ้นปัจจุบันที่โตขึ้นมาเป็น 1020 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นพอร์ตที่เทรดระยะสั้นประมาณ 35 ล้านบาท ที่เหลือเป็นถือยาวและถือรับเงินปันผล
“สไตล์ลงทุนหุ้นของผมข้อดี คือไม่ต้องใช้เวลาทำการบ้านมาก เน้นลงทุนระยะยาวเป็นสัดส่วนที่มากกว่า ทำให้ไม่ต้องดูหุ้นเยอะ โดยพอร์ตที่ใช้เทรดสั้นๆ จะมีหุ้นไม่เกิน 78 ตัว ถ้าช่วงพีกสุดอาจถึง 10 ตัว ซึ่งไม่รวมหุ้นที่ถือยาวโดยตัวหุ้นจะไม่ซ้ำกัน”
ขณะที่วิธีการเลือกคัดกรองหุ้นจะพิจารณาปัจจัยพื้นฐานและเทคนิคให้น้ำหนักเท่ากัน คือเลือกจากปัจจัยพื้นฐานธุรกิจเป็นอันดับแรก ดูประเด็นความสามารถทำกำไรที่ต่อเนื่อง ผลตอบแทนหรือเงินปันผลมีการเติบโต 35 ปีย้อนหลัง ซึ่งสะท้อนถึงผลประกอบการของหุ้นบริษัทไหนที่เติบโตได้ดี
จากนั้นนำมาจัดกลุ่มประเภทหุ้น หากผลประกอบการเติบโตดีมากจะลงทุนถือยาว ส่วนกลุ่มหุ้นที่กำลังพลิกฟื้นตัวจะเป็นกลุ่มเทรดสั้นๆ จากนั้นทั้งหมดจะนำกราฟมาจับทั้งกราฟรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน โดยกลุ่มหุ้นที่เทรดแบบสั้นจะใช้กราฟราย 60 นาที หรือรายวันมาจับ ซึ่งปัจจัยทางเทคนิคจะบอกจังหวะในการเข้าซื้อขายที่ดีกว่าหากไม่ดูเลย เพราะเทคนิคอลสะท้อนสถิติการซื้อขาย รวมถึงจิตวิทยานักลงทุนในตลาด ส่วนกลุ่มหุ้นที่ถือจะดูกราฟรายสัปดาห์หรือรายเดือน ส่วนการคัดเลือกกลุ่มหุ้นนั้นจะเลือกจากสภาวะเศรษฐกิจแต่ละปี โดยเปลี่ยนกลุ่มหุ้นตามความเหมาะสมในช่วงนั้นๆ
“ปัจจัยเทคนิคสามารถใช้กับการลงทุนระยะยาวได้ เพราะช่วยบอกจังหวะการซื้อขาย โดยใช้กราฟไทม์เฟรมที่ยาวขึ้น และก็มีการเปลี่ยนตัวเล่นด้วย เพราะจะดูควบคู่กับปัจจัยพื้นฐานและสภาพเศรษฐกิจแต่ละปีด้วย” n
“ประกาศิต ทิตาราม” เจ้าของนามปากกา Wave Riders ที่ใช้เขียนบล็อกแบ่งปันมุมมองและความคิดในการลงทุน จนกระทั่งผลงานเข้าตาของ Stock2morrow จึงถูกชักชวนให้มาร่วมเป็นวิทยากรบรรยายความรู้ด้านการลงทุน และยังเป็นเจ้าของผลงานหนังสือแชร์ความรู้ด้านลงทุนอีก 2 เล่ม คือ “โต้คลื่นหุ้น รู้ทันเทคนิค” และ “โต้คลื่นหุ้น เทคนิคทำกำไรทะลุฟ้า”
ประกาศิต เล่าให้ฟังว่า ทำธุรกิจกับครอบครัวคือ ธุรกิจจัดหางาน ทำให้มีเงินเก็บออม จึงหาโอกาสการลงทุนและมองไปที่ตลาดหุ้น ขณะที่ครอบครัวมีพอร์ตลงทุนในหุ้นอยู่แล้วขนาดใหญ่ ปัจจุบันมูลค่ามากกว่า 500 ล้านบาท โดยเริ่มลงทุนตั้งแต่ปี 2543 ซึ่งมีคุณพ่อเป็นคนดูแลหลัก ใช้แนวทางปัจจัยพื้นฐานวิเคราะห์งบการเงินและบริหารกันเองโดยคนในครอบครัว อีกส่วนว่าจ้างผู้จัดการกองทุนช่วยบริหาร
ปัจจุบัน ประกาศิตเป็นนักลงทุนวัย 43 ปี บอกกว่า เริ่มแยกพอร์ตส่วนตัวมาลงทุนเองเมื่อปี 2545 ในช่วงที่ดัชนีกำลังเป็นขาขึ้นจากระดับประมาณ 400500 จุด กำลังไต่ขึ้นไปที่ระดับ 1,6001,700 จุด เริ่มลงทุนโดยใช้แนวทางวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานงบการเงิน ซึ่งใช้แนวลงทุนนี้ประมาณ 1 ปี เป็นวิธีเดียวกับพอร์ตครอบครัว จากนั้นจึงเปลี่ยนมาใช้ปัจจัยเทคนิคเพื่อลงทุนในกลางปี 2546 เพราะคิดว่าปัจจัยพื้นฐานเพียงอย่างเดียวไม่เหมาะกับตัวเอง หลังจากได้เรียนด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิคอลกับอาจารย์วันชัย ธัญญศิริ เริ่มต้นด้วยเงินลงทุนราว 45 แสนบาท เป็นการทดลอง ซึ่งผลคือเหมาะกับจริตและนิสัยส่วนตัว จึงทยอยเพิ่มพอร์ตขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังใช้ความรู้ด้านเทคนิคดูพอร์ตของครอบครัวด้วย
ช่วงเริ่มต้นเล่นแบบถือใช้กราฟเทคนิคค่อนข้างยาวใช้กราฟรายวันและสัปดาห์ ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างดีใน 45 ปีแรก เพราะช่วงปี 25462548 ตลาดหุ้นอยู่ในช่วงขาขึ้นตลอด แต่หลังจากปี 25482551 ตลาดไม่ดีก็ขาดทุน จึงปรับสไตล์มาเทรดให้สั้นลง และยังมาศึกษาความรู้เรื่อง “สวิงเทรด” เพิ่มเติม ก็ประสบความสำเร็จพอสมควรแม้ในช่วงที่ตลาดดิ่งหนักมา 300 จุด ก็ไม่มีผลกระทบ ถือเป็นการยืนยันผลลัพธ์ความสำเร็จหนึ่งของแนวทางการลงทุนของตัวเอง
สำหรับการลงทุนโดยใช้เทคนิคอลทดลองมาหลายรูปแบบทั้งสั้น กลาง และยาว ปัจจุบันจะแบ่งพอร์ตเป็นส่วนๆ ทั้งพอร์ตเทรดระยะสั้นที่ความเหมาะสม คือจะถือเฉลี่ย 812 วัน ส่วนพอร์ตลงทุนระยะยาวที่เน้นการถืออยู่ด้วยราว 34 เดือน และยังมีพอร์ตส่วนที่ถือยาวเพื่อรับเงินปันผล โดยไม่ได้กำหนดสัดส่วนที่ชัดเจนขึ้นอยู่กับภาวะตลาด หากตลาดหุ้นเป็นขาขึ้นจะเน้นเทรดสั้นให้น้อยถือให้ยาวปล่อยให้ทำกำไรไปเรื่อยๆ โดยกลยุทธ์นี้ทำตั้งแต่ปี 25522555 พอร์ตสามารถเติบโตเฉลี่ยได้ถึง 100% ต่อปี แต่ในช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวนหรือแกว่งตัวลงเช่นช่วง 12 ปีที่ผ่านมา จะปรับกลยุทธ์มาเทรดให้สั้นลง ยังสามารถได้ผลตอบแทนประมาณ 20% ต่อปี สามารถชนะตลาดหุ้นได้ด้วย
อย่างไรก็ดี พอร์ตลงทุนรวมส่วนตัวมีนโยบายการลงทุนแบบอนุรักษ์จึงไม่ชอบความเสี่ยง ดังนั้นหุ้นจึงเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตที่ใช้สร้างเงินสด ซึ่งใช้จัดสรรไปลงทุนสินทรัพย์อื่นที่มีความเสี่ยงต่ำด้วย ทั้งออมในที่ดินราวสัดส่วน 10% ทองคำแท่งประมาณ 1020% ที่เหลือเป็นกองทุนรวมและพันธบัตร จึงคุมสัดส่วนลงทุนในหุ้นไว้ไม่เกิน 2025% ของพอร์ตรวม หากเริ่มเกินจะดึงเงินออกไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ เพราะมองหุ้นเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงสุด
ปัจจุบัน อยู่ระหว่างการปรับแผนการลงทุนในพอร์ตหุ้น มีเป้าหมายจะมีสร้างผลตอบแทนในอนาคตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 20% เพราะต้องการให้ในช่วง 45 ปีข้างหน้าพอร์ตมีขนาดใหญ่ขึ้นทั้งมูลค่าพอร์ตและสัดส่วนพอร์ต มีแผนจะขยับขึ้นเป็นสัดส่วน 50% ของพอร์ตรวม ซึ่งขณะนี้กำลังพิจารณารูปแบบที่เหมาะสม ด้วยขนาดพอร์ตหุ้นปัจจุบันที่โตขึ้นมาเป็น 1020 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นพอร์ตที่เทรดระยะสั้นประมาณ 35 ล้านบาท ที่เหลือเป็นถือยาวและถือรับเงินปันผล
“สไตล์ลงทุนหุ้นของผมข้อดี คือไม่ต้องใช้เวลาทำการบ้านมาก เน้นลงทุนระยะยาวเป็นสัดส่วนที่มากกว่า ทำให้ไม่ต้องดูหุ้นเยอะ โดยพอร์ตที่ใช้เทรดสั้นๆ จะมีหุ้นไม่เกิน 78 ตัว ถ้าช่วงพีกสุดอาจถึง 10 ตัว ซึ่งไม่รวมหุ้นที่ถือยาวโดยตัวหุ้นจะไม่ซ้ำกัน”
ขณะที่วิธีการเลือกคัดกรองหุ้นจะพิจารณาปัจจัยพื้นฐานและเทคนิคให้น้ำหนักเท่ากัน คือเลือกจากปัจจัยพื้นฐานธุรกิจเป็นอันดับแรก ดูประเด็นความสามารถทำกำไรที่ต่อเนื่อง ผลตอบแทนหรือเงินปันผลมีการเติบโต 35 ปีย้อนหลัง ซึ่งสะท้อนถึงผลประกอบการของหุ้นบริษัทไหนที่เติบโตได้ดี
จากนั้นนำมาจัดกลุ่มประเภทหุ้น หากผลประกอบการเติบโตดีมากจะลงทุนถือยาว ส่วนกลุ่มหุ้นที่กำลังพลิกฟื้นตัวจะเป็นกลุ่มเทรดสั้นๆ จากนั้นทั้งหมดจะนำกราฟมาจับทั้งกราฟรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน โดยกลุ่มหุ้นที่เทรดแบบสั้นจะใช้กราฟราย 60 นาที หรือรายวันมาจับ ซึ่งปัจจัยทางเทคนิคจะบอกจังหวะในการเข้าซื้อขายที่ดีกว่าหากไม่ดูเลย เพราะเทคนิคอลสะท้อนสถิติการซื้อขาย รวมถึงจิตวิทยานักลงทุนในตลาด ส่วนกลุ่มหุ้นที่ถือจะดูกราฟรายสัปดาห์หรือรายเดือน ส่วนการคัดเลือกกลุ่มหุ้นนั้นจะเลือกจากสภาวะเศรษฐกิจแต่ละปี โดยเปลี่ยนกลุ่มหุ้นตามความเหมาะสมในช่วงนั้นๆ
“ปัจจัยเทคนิคสามารถใช้กับการลงทุนระยะยาวได้ เพราะช่วยบอกจังหวะการซื้อขาย โดยใช้กราฟไทม์เฟรมที่ยาวขึ้น และก็มีการเปลี่ยนตัวเล่นด้วย เพราะจะดูควบคู่กับปัจจัยพื้นฐานและสภาพเศรษฐกิจแต่ละปีด้วย”


