“เซนต์ เนเจอร์” หอมกลิ่นแฟรนไชส์ไทย
สินค้าบริการเกี่ยวกับสุขภาพและความงาม นับเป็นอีกหนึ่งแนวโน้มธุรกิจแฟรนไชส์สมัยใหม่ที่มาแรง
โดย...ดวงใจ จิตต์มงคล
สินค้าบริการเกี่ยวกับสุขภาพและความงาม นับเป็นอีกหนึ่งแนวโน้มธุรกิจแฟรนไชส์สมัยใหม่ที่มาแรง เห็นได้จากการเข้ามาของร้านสาขา หรือเชนค้าปลีกแบรนด์ดังต่างๆ จากต่างประเทศ รวมถึงร้านสุขภาพและความงามในรูปแบบร้านเดี่ยว หรือสแตนด์อะโลน ภายใต้แบรนด์ของคนไทยเอง ที่ทยอยผุดสาขาใหม่ๆ ในช่วงที่ผ่านมา
เช่นเดียวกับ (SCENT NATURE) ธุรกิจแฟรนไชส์เครื่องหอมแบรนด์ของคนไทย โดยมี ธนาธร เทียมตระกูล หนึ่งในเจ้าของธุรกิจแฟรนไชส์ดังกล่าว เล่าที่มาธุรกิจเกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีก่อน (2555) โดยได้ไอเดียการทำธุรกิจจากความชื่นชอบผลิตภัณฑ์เครื่องหอม ไม้หอม ที่ในช่วงนั้นสินค้าเครื่องหอมส่วนใหญ่จะเป็นกลิ่นสมุนไพรไทย ทำให้เห็นช่องว่างทางธุรกิจพัฒนาสินค้าเครื่องหอมอโรม่าสไตล์ต่างๆ ออกมา
สำหรับเครื่องหอม ไม้หอม “เซนต์ เนเจอร์” ชูจุดเด่นกลิ่นที่มีความเป็นสากล โดยใช้หัวน้ำหอมจากประเทศฝรั่งเศสเป็นวัตถุดิบหลัก โดยปัจจุบันเครื่องหอมและก้านไม้หอมอโรม่าปรับอากาศในห้อง (Reed Diffuser) มีจำนวน 17 กลิ่น รวมถึงสินค้าแนวกลิ่นอื่นๆ เช่น ครีมอาบน้ำกลิ่นอโรม่า สเปรย์อโรม่า ถุงหอมอโรม่าติดรถยนต์ เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันเปิดร้านสาขาต้นแบบแห่งแรกอยู่ที่ชั้น 3 ศูนย์การค้าอินสแควร์
ส่วนแนวทางการขยายธุรกิจจะเป็นลักษณะการหาตัวแทนจำหน่าย โดยปัจจุบัน “เซนต์ เนเจอร์” มีตัวแทนจำหน่ายตามจุดต่างๆ ในศูนย์การค้า อาทิ อินสแควร์จตุจักร ซีคอนบางแค บิ๊กซีบางพลี ตะวันนาบางกะปิ อยุธยาปาร์ค เซ็นทรัลขอนแก่น โลตัสระยอง เดอะมอลล์โคราช ฯลฯ รวมถึงตัวแทนขายตลาดนัดที่ตลาดรถไฟศรีนครินทร์ ตลาดหน้าราม ตลาดเลียบทางด่วนรามอินทรา ตลาดนวนคร ฯลฯ
นอกจากนี้ ยังมีตัวแทนจำหน่ายต่างจังหวัด เช่น มหาสารคาม หาดใหญ่ ภูเก็ต ซึ่งทางเซนต์ เนเจอร์ จะรับพื้นที่ละ 1 ตัวแทนขายเท่านั้น พร้อมวางเป้าหมายการขยายสาขาแฟรนไชส์เซนต์ เนเจอร์ ผ่านตัวแทนจำหน่ายได้ 100 ราย ในปี 2558 จากปัจจุบันมีตัวแทนจำนวน 20 แห่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ
ขณะที่รูปแบบการลงทุนธุรกิจนั้น แบ่งเป็นสมัครตัวแทนจำหน่ายครั้งแรก 1.5 หมื่นบาท ซึ่งจะได้สิทธิรับสินค้าและอุปกรณ์การขายรวมมูลค่ากว่า 2.5 หมื่นบาท พร้อมรับสิทธิขายในพื้นที่/ศูนย์ฯ หรือตลาดนั้นแต่เพียงรายเดียว และรับสิทธิซื้อสินค้าทุกอย่างของเซนต์ เนเจอร์ ในราคาตัวแทนจำหน่ายโดยไม่จำกัดจำนวนขั้นต่ำ เป็นต้น คาดระยะเวลาคืนทุนธุรกิจอยู่ที่ประมาณ 1-2 สัปดาห์
ธนาธร บอกว่า สินค้าเซนต์ เนเจอร์ จะมีกำไรอยู่ที่ประมาณ 40% ของราคาขายปลีก เช่น ก้านไม้หอมอโรม่า 1 ชิ้น ราคาจำหน่ายปลีก 200 บาท ราคาตัวแทนขาย 120 บาท กำไร 80 บาท หรือ 40% หากขาย 1 วัน เพียงวันละ 20 ชิ้น ยอดขายวันละ 200 คูณ 20 ก็จะได้ราว 4,000 บาท หรือคิดเป็นกำไร 1,600 บาท/วัน หรือหากขาย 30 วัน เพียงวันละ 20 ชิ้น ยอดขายวันละ 4,000 คูณ 30 ก็จะได้ราว 1.2 แสนบาท ตกกำไร 4.8 หมื่นบาท/เดือน
อย่างไรก็ตาม การทำตลาดสินค้าดังกล่าวยังขึ้นอยู่กับทำเลด้วยเช่นกัน รวมถึงความสามารถของผู้ขาย ซึ่งหากค่าเช่าร้านประมาณไม่เกินวันละ 400500 บาท ก็ถือว่าควรลงทุน ถ้าผู้ลงทุนเห็นว่าทำเลเหมาะสมเช่นกัน
ขณะที่กลุ่มเป้าหมายหลักที่ซื้อสินค้ากว่า 90% เป็นลูกค้าคนไทยในประเทศ และอีก 10% เป็นชาวต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวเอเชียอย่างญี่ปุ่นที่สนใจสินค้าเครื่องหอมเซนต์ เนเจอร์ ซึ่งจากการสำรวจหน้าร้านพบว่า ลูกค้าต่างชาติ 100%ที่หยิบสินค้าก้านหอมมาดมกลิ่นแล้วจะตัดสินใจซื้อทันทีทุกราย
ในส่วนของการผลิตสินค้านั้น เซนต์ เนเจอร์ ใช้วิธีว่าจ้างผลิตจากภายนอก (เอาต์ซอร์ส) โดยให้บริษัทผลิตเครื่องสำอางผลิตสินค้าเครื่องหอมต่างๆ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับคำสั่ง (ออร์เดอร์) ในแต่ละช่วง หรือเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นชิ้น/เดือน และมีแผนเพิ่มคำสั่งผลิตในอนาคต รวมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์กลิ่นใหม่ๆ
ทั้งนี้ เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดเครื่องหอมเซนต์ เนเจอร์ ทั้งในและต่างประเทศระดับเอเชียและอาเซียนตามแผนที่วางไว้ โดยวางเป้ายอดขายราว 3 ล้านบาท/เดือน และคาดสิ้นปีนี้จะมีอัตราเติบโตธุรกิจ 100% เช่นกัน


