posttoday

ประเดช กิตติอิสรานนท์ เน้นทุนแบบกินยาว

04 กรกฎาคม 2557

หลายคนรู้จักกับ “ประเดช กิตติอิสรานนท์” วัย 63 ปี อดีตผู้ร่วมก่อตั้งและอดีตกรรมการผู้จัดการ บริษัท เด็มโก้ (DEMCO) ที่ปัจจุบันเป็นนักลงทุนที่เน้นการลงทุนบริษัทที่รอออกดอกออกผลในระยะยาว

หลายคนรู้จักกับ “ประเดช กิตติอิสรานนท์” วัย 63 ปี อดีตผู้ร่วมก่อตั้งและอดีตกรรมการผู้จัดการ บริษัท เด็มโก้ (DEMCO) ที่ปัจจุบันเป็นนักลงทุนที่เน้นการลงทุนบริษัทที่รอออกดอกออกผลในระยะยาว

เขาเป็นนักลงทุนในตลาดหุ้นมากว่า 20 ปีแล้ว เมื่อก่อนอาจจะมีบ้างที่ซื้อขายทำกำไรระยะสั้น แต่ทุกอย่างเริ่มจริงจังหลังจากเขาต้องทำทั้งบริษัท ดีดี มาร์ท ในอดีตที่เป็นร้านสะดวกซื้อ และนำบริษัท เด็มโก้ เตรียมตัวเข้าจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ปี 2549

ทุกอย่างต้องสะดุดและแยกตัวออกมา เพราะแนวทางบริหารไม่ตรงกัน เขาจึงขายหุ้น DEMCO รวมถึงหุ้นที่เขาได้ยกให้กับลูกๆ หลังจากร่วมก่อตั้งและบริหารบริษัทมาทั้งหมด 20 ปี แต่สำหรับเขาถือว่าแม้เป็นการลงทุนในระยะยาวที่เรียกว่ายาวมาก จากเงินลงทุนเริ่มต้นที่ 5 แสนบาท แต่อัตราผลตอบแทนจากการขายหุ้นและสินทรัพย์ของกลุ่มทั้งหมด 1,000 ล้านบาท เป็นอัตราผลตอบแทนที่หลายเท่ามาก

มุมมองการลงทุนของอดีตนิสิตวิศวกรรมศาสตร์ เอกการไฟฟ้า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เป็นระบบและมีวิธีการบริหารเงินอย่างมีแบบแผนและกล้าที่จะลงทุน ทำให้เขากล้าและตัดสินใจพร้อมกระโดดมาลงทุนในพลังงานลมอย่างจริงจัง รวมถึงให้ลูกชายเข้าไปเป็นผู้ร่วมบริหารในบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง (WEH) ด้วย จากเม็ดเงินที่ได้จากการขายหุ้น DEMCO และขายธุรกิจมินิมาร์ทของดีดี มาร์ท ไป โดยเหลือแต่เพียงบริษัท ดีดี มาร์ท โฮลดิ้ง ที่เป็นบริษัทดูแลเรื่องการลงทุนของครอบครัวเขา โดยปัจจุบันมีลูกสาวคนกลางเป็นคนดูแลพอร์ตให้ของครอบครัว

“ถึงวันนี้มุมมองการลงทุนในหุ้นยังมีซื้อขายระยะสั้นบ้าง แต่เป็นส่วนน้อยเพื่อให้เจ้าหน้าที่การตลาดมีค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (คอมมิชชั่น) ไปบ้าง เพราะปัจจุบันเน้นการลงทุนอะไรที่ให้ผลตอบแทนระยะยาวมากกว่า เพราะสิ่งที่จะได้ต้องยอมรับว่าคือมูลค่าของธุรกิจที่จะมีการเติบโตต่อเนื่องในอนาคตมาก พร้อมกับระหว่างทางก็จะได้เงินปันผลอีกด้วย”

สิ่งสำคัญสำหรับ “ประเดช” คือ ก่อนที่จะเข้าไปลงทุนในธุรกิจใดๆ นั้น เขาจะต้องทุ่มเทในการศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดรอบคอบ พร้อมกับมีการเข้าไปพูดคุยกับผู้บริหารอย่างจริงจัง ไม่ใช่ไปเพื่อเอาข้อมูลซื้อขายภายในบริษัทมา แต่เขารู้สึกว่าการเปิดเผยข้อมูลของผู้บริหารเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้นักลงทุนมีสิทธิและโอกาสตัดสินใจว่าจะเข้ามาลงทุนในบริษัทนั้นหรือไม่

ที่ผ่านมา “ประเดช” เคยมีประสบการณ์การลงทุนไปประมาณ 3 เดือนแล้วต้องยอมขายตัดขาดทุนไป 50 ล้านบาท เนื่องจากพอเข้าไปลงทุนแล้วพบว่าสิ่งที่ผู้บริหารไม่ได้เคยพูดไว้เขาเปิดเผยกับนักลงทุนไม่หมด และเห็นว่าแนวทางในอนาคตไม่น่าจะเป็นไปตามที่บริษัทประกาศไว้ตั้งแต่แรกได้

เขาตัดสินใจลงทุนในพลังงานลมหลังจากที่ “นพพร ศุภพิพัฒน์” คนที่นำโครงการพลังงานมาเสนอ และมีการศึกษาข้อมูล เตรียมงานและทุกอย่างเอาไว้พร้อมขาดแต่เงินลงทุน ดังนั้นเมื่อเห็นโอกาสว่าคนนี้มีวิสัยทัศน์ก้าวหน้า ดูความเป็นไปได้ของโครงการที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จึงตัดสินใจไม่ยากที่จะร่วมหุ้น และปัจจุบันมีแผนที่จะเสนอขายและเตรียมเข้าจดทะเบียนซื้อขายใน ตลท.กลางปี 2558 แล้ว และได้แต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 3 แห่ง พร้อมกันระหว่างนี้ก็มีธนาคารพาณิชย์อนุมัติเงินกู้เพื่อรองรับโครงการในอนาคต โดยตั้งเป้าว่าปี 2560 จะต้องมีสัญญาขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จากโรงไฟฟ้าจากพลังงานลม 750 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันจ่ายไฟทั้งหมด 207 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นทุ่งกังหันลมที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เช่นเดียวกันที่เข้าไปถือหุ้นและเป็นกรรมการให้กับ 2 บริษัท คือ บริษัท ซุปเปอร์บล๊อก (SUPER) และบริษัท เอเวอร์แลนด์ (EVER) เพราะพี่น้องตระกูลนี้เขามีความคิดที่ใหญ่และกล้าที่จะทำ พอเข้าไปพูดคุยกับเขาจริงจังเห็นความตั้งใจของเขาและแผนการดำเนินงานที่ชัดเจนในอนาคต เห็นว่าสินทรัพย์บางแห่งที่มีอยู่ในมือมีโอกาสและสามารถพัฒนาได้ในอนาคต พร้อมกับขอคำปรึกษาจากเรา เราจึงกล้าที่จะร่วมลงทุนร่วมหุ้นไปกับเขา จนทุกวันนี้มูลค่าพอร์ตการลงทุนของเขาทั้ง 3 บริษัท คือ WEH, SUPER และ EVER รวมทั้งหมดประมาณ 1.6 หมื่นล้านบาท

มุมมองการลงทุนนี้เขาได้กระจายแนวคิดและแนะนำให้ลูกๆ ทั้ง 3 ด้วย จนทุกวันนี้ลูกๆ ทั้ง 3 ที่มีอายุไล่เลี่ยกันตั้งแต่ 35 ปี 31 ปี และ 29 ปี เรียกได้ว่ามีอิสรภาพทางการเงินกันแล้ว โดยแต่ละคนก็มีพอร์ตการลงทุนเฉลี่ยคนละ 200 ล้านบาท และแต่ละปีก็จะให้ลูกรายงานพอร์ตการลงทุนมาให้ดูกันด้วย

ข่าวล่าสุด

วปอ.68 มอบตาข่ายป้องกันโดรน ทิ้งระเบิด และสิ่งของ ช่วยทหารชายแดนภาค 2