posttoday

ไข่ในหลายตะกร้า

30 มิถุนายน 2557

ความผันผวนต่างๆ ซึ่งรวมถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศทำให้หลายธุรกิจและหลายประเทศจำเป็นต้องกระจายความเสี่ยงในการทำการค้าการลงทุนมากขึ้น เพราะการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป เมื่อเกิดปัญหาใดๆ ที่ไม่สามารถควบคุมได้ อาจทำให้เกิดผลเสียมหาศาล เหมือนกับคำกล่าวที่ว่า ให้ใส่ไข่ไว้ในตะกร้าหลายใบ หากตะกร้าใบใดใบหนึ่งตกลงพื้น ก็ยังเหลือไข่ในตะกร้าใบอื่นอยู่

ความผันผวนต่างๆ ซึ่งรวมถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศทำให้หลายธุรกิจและหลายประเทศจำเป็นต้องกระจายความเสี่ยงในการทำการค้าการลงทุนมากขึ้น เพราะการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป เมื่อเกิดปัญหาใดๆ ที่ไม่สามารถควบคุมได้ อาจทำให้เกิดผลเสียมหาศาล เหมือนกับคำกล่าวที่ว่า ให้ใส่ไข่ไว้ในตะกร้าหลายใบ หากตะกร้าใบใดใบหนึ่งตกลงพื้น ก็ยังเหลือไข่ในตะกร้าใบอื่นอยู่

เช่นเดียวกับกรณีของ “เวียดนาม” ที่ตอนนี้บรรดาเกษตรกร ชาวสวน ชาวไร่ จำเป็นต้องหาตลาดใหม่ๆ หลังจากที่ผ่านมาพึ่งพาตลาด “จีน” มากเกินไป แต่เมื่อมีเหตุการณ์กระทบกระทั่งกันในเขตน่านน้ำช่วงที่ผ่านมา การส่งออกสินค้าไปจีนเริ่มชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด

ส่งผลให้ราคาผลไม้หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นทุเรียน แก้วมังกร มะม่วง ขนุน มันเทศ ร่วงลงกันเป็นทิวแถว เช่น ทุเรียน ราคาลดเหลือกิโลกรัมละไม่ถึง 30 บาท ส่วนแก้วมังกรราคาอยู่ที่ประมาณกิโลกรัมละ 16 บาท

ชาวสวนจึงจำเป็นต้องหาตลาดใหม่ๆ ซึ่งเป้าหมายก็มีทั้งประเทศในกลุ่มอาเซียน เช่น กัมพูชา ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย เรื่อยไปถึงประเทศเอเชียรายใหญ่อย่างอินเดีย ที่คาดว่าจะใช้เวลาเจาะเข้าไปให้ได้ภายใน 35 ปีนี้ และน่าจะช่วยให้เวียดนามลดการพึ่งพาตลาดจีนลงได้

บริษัท ลอง เวียด โค ซึ่งส่งออกแก้วมังกร บอกว่า ก่อนหน้านี้ส่งออกสินค้าประมาณ 90% ไปจีน แต่เมื่อเกิดความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ คู่ค้าชาวจีนก็ระงับการนำเข้า ทำให้ต้องหาตลาดอื่นแทน เช่น ไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ที่แม้จะไม่ได้มีความต้องการแก้วมังกรมากเท่ากับจีน แต่ก็เป็นที่นิยมในตลาดอาเซียนเหมือนกัน

สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติ จีนถือว่ามีอิทธิพลต่อภาคเกษตรกรรมของเวียดนามมาก ทั้งในแง่ของการเป็นตลาดรับซื้อสินค้าเกษตรของเวียดนาม เช่น เป็นผู้ซื้อข้าวรายใหญ่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยมากกว่า 60% ของการส่งออกข้าวเวียดนามมีปลายทางคือจีน

ขณะเดียวกัน เวียดนามก็ต้องนำเข้าอาหารสัตว์ ปุ๋ย และยาฆ่าแมลงจากจีนเช่นกัน หรือคิดเป็น 30-50% ของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ที่ใช้ในประเทศ

นอกจากนี้ เวียดนามยังมองตลาดสินค้าเกษตรที่สะอาดและคุณภาพสูงที่เป็นที่ต้องการในตลาดโลก และเวียดนามกำลังเร่งพัฒนาตัวเอง รวมทั้งต้องปรับเปลี่ยนวิธีการเพาะปลูกและรับเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่ขั้นสูงมาใช้ เพื่อผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐานสากล

มาถึงตอนนี้ สินค้าบางตัวของเวียดนามสามารถเจาะตลาดดังกล่าวได้แล้ว โดยล่าสุดได้ส่งแก้วมังกรล็อตแรกเข้าตลาดนิวซีแลนด์ ซึ่งเข้มงวดเรื่องการนำเข้า และเคยส่งแก้วมังกรเจาะตลาดญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ชิลี แคนาดา สหรัฐ และสหภาพยุโรป

ในอนาคต หากผลไม้ของเวียดนามชนิดอื่นๆ เช่น มะม่วง ลำไย ลิ้นจี่ เงาะ ผ่านการตรวจสอบรับรองคุณภาพ ตลาดเหล่านี้ก็จะกลายเป็นตลาดส่งออกสำคัญของเวียดนามต่อไปด้วย

เห็นกรณีของเวียดนามแล้ว ก็ต้องย้อนมองดูไทย ซึ่งสารพัดวิกฤตทั้งนอกทั้งในประเทศในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ภาครัฐและเอกชนต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ หาตลาดส่งออกใหม่ๆ อยู่เสมอ จะได้ไม่ต้องพึ่งพาตลาดใดมากเกินไป ช่วยกระจายความเสี่ยง หากตลาดใดมีปัญหา

ก็ได้แต่หวังว่า แม้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในช่วงนี้ แต่ไทยยังคงยึดกับแนวทางกระจายความเสี่ยงต่อไป เพราะในโลกทุกวันนี้หลายอย่างพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวรจริงๆ

ข่าวล่าสุด

สยามพิวรรธน์คว้า 2 รางวัลโลก พร้อมเปิด NEXTOPIA สยามพารากอน