อย่าปิดบังหนี้สินกับคู่ของคุณ

อย่าปิดบังหนี้สินกับคู่ของคุณ ผลเสียมีมากกว่าที่คิด เพราะอะไร?

หลายคนอาจคิดว่า การปิดบังหนี้สินแก่คู่สามีหรือภรรยาของตน อาจจะไม่เสียหายอะไร คุณสามารถจัดการได้ จึงไม่อยากให้เกิดชะนวนของการทะเลาะ แต่นี่คือการเข้าใจผิด การปิดบังหนี้สินถือเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่คุณคิด และอาจเกิดปัญหาตามมาในภายหลังได้ เพราะอะไร วันนี้ MoneyGuru เอาเรื่องราวเหล่านี้มาฝากกัน

นอกเหนือไปจากการที่ คุณกำลังโกหกแฟนคุณ ซึ่งเป็นการผิดคำมั่นสัญญาที่คุณเคยให้กันก่อนการแต่งงานแล้ว ยังมีอีกหลายเหตุผลที่ทำให้การปิดบังหนี้สินไม่ควรทำ

มีปัญหาต่อการวางแผนครอบครัว
ประการสำคัญของเรื่องการวางแผนครอบครัวคือ "การมีบุตร" แน่นอนว่า การมีบุตร หากพูดกันตามความเป็นจริงและ คือภาระทางการเงินระยะยาวราว 20 ปี และใช้เงินรวมๆ แล้วนับล้านบาท เลยก็ว่าได้ จนกว่าลูกของคุณจะมีรายได้เป็นของตนเอง เพราะฉะนั้นหากคุณคิดว่าจะมีลูกในอนาคต การมาก่อหนี้สิน และปิดบังหนี้สินระหว่างกันคงไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่ ซึ่งในทางอุดมคตินั้น คุณควรจะมีจัดการหนี้สินให้หมดก่อนมีลูกเสียด้วยซ้ำ หรืออย่างน้อย การมีหนี้สินของคุณ ภรรยาหรือสามีของคุณควรรับรู้ด้วย เพื่อที่ทั้งคู่จะได้ตัดสินใจว่า หากจะมีลูกพร้อมหนี้สินก้อนนี้จะเป็นไปได้มั้ย หรือควรเลื่อนแผนการมีลูกออกไปก่อน

กู้สินเชื่อยากขึ้น
บ้าน มักเป็นของที่แพงที่สุดในชีวิตที่คุณจะซื้อ เป็นภาระทางการเงินที่ใหญ่หลวงไม่แพ้การมีลูก เวลาคุณกู้สินเชื่อ คุณต้องมั่นใจว่าได้อัตราดอกเบี้ยที่คุ้มค่าที่สุด นอกจากนี้ คุณคงไม่อยากเพิ่มภาระตัวคุณเอง ด้วยการมีหนี้สินอื่นที่ต้องจัดการ ไปพร้อมๆ กับการผ่อนบ้าน ดังนั้น หากคุณและภรรยาของคุณตัดสินใจที่จะมีบ้านซักหลังเป็นรังรักของคุณ คุณต้องเปิดเผยสถานะทางการเงินทั้งหมดของคุณกับภรรยาหรือสามี เพราะการที่คุณมีหนี้สิน นั่นหมายถึงหากคุณกู้สินเชื่อบ้านร่วมกับภรรยาของคุณ มันจะกระทบการเครดิต หรือวงเงินที่คุณจะได้รับ หากคุณไม่บอกคู่ของคุณ สุดท้ายเขาก็รู้อยู่ดี ดังนั้น รู้ก่อน ดีกว่ารู้ทีหลัง และยังทำให้สามารถสางแผนเรื่องบ้าน ในเรื่องราคาได้ง่ายกว่าอีกด้วย

แล้วจะบอกอย่างไรดีล่ะ

อันนี้คือขั้นตอนแนะนำคร่าวๆ ซึ่งไม่ว่าอย่างไรก็ตามคุณควรบอกความจริงกับแฟนคุณให้เร็วที่สุด

1. ไล่เรียงหนี้สินทั้งหมด และตรวจสอบรายงานประวัติเครดิต

หากคุณมีหนี้สินหลายก้อน ให้ไล่เรียงออกมาทั้งหมด ตามความเร่งด่วนที่ต้องจัดการ ซึ่งคิดจากอัตราดอกเบี้ยที่คุณต้องเสีย ถ้าเสียมาก และเสียรายวัน ให้เอาขึ้นก่อน นอกจากนี้ให้ขอรายงานประวัติเครดิตจากเครดิตบูโรเพื่อเช็คว่าคะแนนของคุณแย่ถึงขั้นไหนแล้ว

2. นั่งคุยเปิดใจ

ง่ายๆ คือ เล่าให้ฟังทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ อาจจะดูยาก แต่คือสิ่งที่ดีที่สุด

3. วางแผนแก้ปัญหาร่วมกัน

ถึงแม้คุณจะบอกว่า คุณสองคนแยกกระเป๋ากัน แต่แน่นอนว่า หากกระเป๋าคนใดคนหนึ่งฉีก ก็ย่อมกระทบกับส่วนกลางที่คุณจ่ายร่วมกันเป็นแน่ เพราะฉะนั้น เป็นคู่กัน ควรช่วยกันแก้ปัญหา วางแผนร่วมกันว่าจะจัดการปัญหาหนี้สินอย่างไร