posttoday

จากอินเทลสะท้อนถึง สพฐทบทวนจัดซื้อแท็บเล็ตนักเรียน

12 พฤษภาคม 2557

โครงการแท็บเล็ตเพื่อการศึกษา หรือโอทีพีซี (OTPC : One Tablet Per Child) ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน

โดย...พรหมเมศร์ ศิริสุขวัฒนานนท์

โครงการแท็บเล็ตเพื่อการศึกษา หรือโอทีพีซี (OTPC : One Tablet Per Child) ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ สพฐ. สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นนโยบายของรัฐบาล อดีตนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งดำเนินการแล้ว 2 ปี ในปี 2555 และ 2556 และขณะนี้ได้รับฟังความคิดเห็นสาธารณะเกี่ยวกับระเบียบการจัดซื้อจัดจ้าง (ทีโออาร์) สำหรับปี 2557 ผ่านทางออนไลน์ไปแล้ว

คำถามที่ สพฐ.ต้องตอบ คือ อะไรคือสิ่งที่เกิดขื้นกับแท็บเล็ตโอทีพีซี ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา สามารถบอกได้หรือไม่ว่าเป็นโครงการที่ประสบความสำเร็จ หรืออะไรคือจุดบกพร่องที่ต้องแก้ไขปรับปรุงเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำรอยเดิม และอะไรคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับทีโออาร์และการจัดซื้อจัดจ้างในปี 2557 และสุดท้าย เพื่อประโยชน์ในการยกระดับการศึกษาของไทยหรือไม่

จากคำถามดังกล่าวกับการเปิดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะผ่านเฉพาะช่องทางออนไลน์ โดยการดาวน์โหลดทีโออาร์ 5 ฉบับ ได้แก่ แท็บเล็ตสำหรับ ครู ป.1 และ ครู ม.1 และแท็บเล็ตสำหรับนักเรียน ป.1 และนักเรียน ม.1 และส่งความคิดเห็นผ่านทางออนไลน์ไปให้ สพฐ. พิจารณาทบทวนปรับแก้รายละเอียดในทีโออาร์ ซึ่งเปิดรับในระยะเวลา 5 วันทำการ (เปิดให้ดาวน์โหลดทีโออาร์วันที่ 1 8 พ.ค. รวมเวลา 5 วันทำการ ไม่นับวันหยุด) ด้วยระยะเวลาเพียงเท่านี้ กับเงินงบประมาณ 5,000 ล้านบาท และเด็กนักเรียน 1.6 ล้านคนที่ต้องใช้แท็บเล็ต ถือว่าเพียงพอหรือไม่

สนธิญา หนูจีนเส้ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) สะท้อนมุมมองในฐานะผู้พัฒนาเทคโนโลยีชิปประมวลผลว่า ทีโออาร์ที่ สพฐ.ประกาศออกมาในปีนี้ ใช้กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างแบบแยกระบบ ได้แก่ ฮาร์ดแวร์คือตัวแท็บเล็ต ซอฟต์แวร์ ตัวห้องเรียน และการฝึกอบรมครูผู้ใช้แยกจากกัน เหมือนกับ 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งในมุมมองของอินเทลถือว่าเป็นการจัดซื้อจัดจ้างที่ล้มเหลว ส่งผลให้ปีนี้จะมีปัญหาเช่นเดียวกับ 2 ปีที่ผ่านมา

ปัญหาที่เกิดขึ้น คือ มีการแข่งขันราคาสูงจนได้ของไม่มีคุณภาพ ส่งของไม่ทัน เครื่องเสียจำนวนมาก ครูไม่ได้รับฝึกอบรมทั่วถึง การเชื่อมต่อกับระบบส่วนกลางไม่สมบูรณ์ ควบคุมการใช้งานของนักเรียนไม่ได้ ไม่สามารถส่งผ่านคอนเทนต์ใหม่ๆ ทางอินเทอร์เน็ตได้ ทำให้การนำแท็บเล็ตไปใช้ตอนขึ้นชั้นเรียนใหม่มีปัญหา สุดท้ายแท็บเล็ตกลายเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่ใช้ดูวิดีโอ เล่นไฟล์แฟลช และอ่านอีบุ๊ก เท่านั้น

สำหรับคุณสมบัติเครื่องแท็บเล็ตปี 2557 ที่คาดว่าจะมีปัญหา เริ่มจากการซื้อแยกฮาร์ดแวร์จากระบบทั้งหมด ด้วยราคาต่อเครื่องที่ 2,7002,900 บาท จากนั้นต้องมีการแข่งราคาต่อเครื่องให้ต่ำลงไปอีก สรุปคือ อาจจะได้เครื่องราคาต่ำที่สุด แต่คุณภาพก็ลดลงไปด้วยและมีข้อกำหนดในทีโออาร์อีกหลายส่วนที่ไม่จำเป็น เช่น การกำหนดให้แท็บเล็ต ต้องมีระบบเอ็นเอฟซี หรือ Near Field Communication เป็นการส่งผ่านข้อมูลในระยะใกล้ มีต้นทุนในระบบนี้ 10 เหรียญหรือ 300 บาท ซึ่งไม่จำเป็นในแท็บเล็ตสำหรับนักเรียน

อีกทั้งมีการกำหนดระยะเวลาการทำงานของแบตเตอรี่ลดลงเหลือ 3 ชั่วโมงจากเดิม 6 ชั่วโมงในการดูวิดีโอ ได้กำหนดระบบปฏิบัติการขั้นต่ำคือ แอนดรอยด์ 4.0 แต่ปัจจุบันระบบได้พัฒนาไปถึงแอนดรอยด์ 4.2 แล้ว และควรกำหนดมาตรฐานสากลไอพี คือ การป้องกันฝุ่นและป้องกันน้ำ รวมถึงระบบมาตรฐานการผ่านดร็อปเทสต์ หรือทดสอบเครื่องตก จากบริษัทที่รับทดสอบระดับสากล ซึ่งค่าใช้จ่ายไม่ได้เพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีส่วนของชิปประมวลผลที่กำหนดใช้แบบควอดคอร์ 1.3 กิกะเฮิรตซ์ แต่ไม่ได้กำหนดประสิทธิภาพการทำงานไว้ ซึ่งโรงงานในประเทศจีนสามารถผลิตชิปประมวลผลควอดคอร์ได้อยู่แล้ว แต่ประสิทธิภาพการทำงานอาจจะต่ำกว่าดูโอคอร์ จึงควรกำหนดประสิทธิภาพการทำงานโดยบริษัทกลาง

ทั้งนี้ ทางอินเทลได้ทำข้อเสนอแนะไปยัง สพฐ.ให้ทบทวนการจัดซื้อจัดจ้างใหม่ และควรปรับปรุงทีโออาร์ใหม่ทั้งหมด ซึ่งอาจส่งผลให้โครงการช้าออกไปอีกระยะหนึ่ง หรืออาจต้องคืนงบประมาณเพื่อดำเนินการใหม่ทั้งหมด แต่หากจัดซื้อมาแล้วมีปัญหา ไม่ได้สร้างประโยชน์ให้เด็กนักเรียน และไม่ได้ยกระดับการศึกษา จะซื้อมาเพื่ออะไร โดยเนื้อหาของข้อเสนอที่สำคัญคือ สพฐ. ควรจัดซื้อแท็บเล็ตเพื่อการศึกษาในลักษณะครบวงจร (Turn Key Solutions)

นั่นคือผู้ที่เข้าประมูลต้องรับผิดชอบจัดหาเป็นสมาร์ทคลาสรูม หรือห้องเรียนอัจฉริยะ ประกอบด้วย ตัวแท็บเล็ต ระบบห้องเรียน รวมถึงการควบคุมบริหารโดยครูผู้สอน ระบบอินเทอร์เน็ตและคลาวด์สำหรับเชื่อมต่อกับส่วนกลาง มีการฝึกอบรมครูในการใช้งาน และการบำรุงรักษา ซึ่งเท่ากับผู้ประมูลจะต้องรับผิดชอบทั้งระบบ ในลักษณะวันสต็อปเซอร์วิส มีปัญหาติดต่อที่เดียว จะเป็นการสกรีนบริษัทขนาดเล็ก และช่วยเรื่องการแข่งราคา เพราะสามารถเฉลี่ยงบประมาณไปยังการวางระบบ และส่วนอื่นๆ ได้

การทำทีโออาร์ในลักษณะบริษัทขนาดใหญ่สามารถเข้าร่วมได้แน่นอน เช่น เอสวีโอเอ, สุพรีม, ยิบอินชอย หรือแบรนด์อินเตอร์ เช่น เอเซอร์, เลอโนโว, เอซุส ก็สามารถเข้าได้ ซึ่งจะเป็นการเปิดกว้างทางการแข่งขันมากกว่าเดิม

“การจัดซื้อจัดจ้างแบบครบวงจร อาจจะไม่ได้แท็บเล็ตสำหรับเด็กทุกคน แต่จะได้สมาร์ทคลาสรูมอย่างน้อย 23 ห้องเรียนสำหรับทุกโรงเรียน และจะเป็นการยกระดับคุณภาพการศึกษาทั้งระบบอย่างแท้จริง ซึ่งมีตัวอย่าง เช่น โรงเรียนสามเสน หรือโรงเรียนที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ซึ่งมีการใช้งานในลักษณะโรงเรียนต้นแบบแล้ว หากนำมาใช้กับโครงการนี้ การมีระบบเชื่อมต่อกับคลาวด์ จะทำให้ สพฐ. สามารถเก็บข้อมูลการเรียน การสอบ ของนักเรียนไปเพื่อประเมินได้อีกด้วย” สนธิญา กล่าว

แน่นอนว่า การจะชะลอโครงการ ทบทวนทีโออาร์ หรือคืนงบประมาณกลับไป งบอาจจะโดนตัด และอาจเป็นเรื่องยากในระบบราชการไทยและไม่มีใครอยากทำ เมื่อเทียบกับการจัดซื้อจัดจ้างไปตามที่มีอยู่แล้ว ซึ่งง่ายกว่ากันเยอะ แต่ถ้ารู้ว่าทำไปแล้วมีปัญหาซ้ำเดิม เป็นการใช้งบประมาณของประเทศ ต้องถาม สพฐ.และกระทรวงศึกษาธิการ ว่ายังจะทำต่อไปหรือไม่ หรือถือว่าต้องทำตามนโยบายและงบประมาณที่จัดสรรมาแล้วให้จบตามหน้าที่เท่านั้น

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์ชู 3 แกนพัฒนาคน รับรางวัล HR Leader for Social Impact 2025