เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ฯผู้ผลิตน้ำตาลอันดับ 3
บริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น (KTIS) ผู้ประกอบธุรกิจผลิตน้ำตาลและจำหน่ายน้ำตาลทรายและธุรกิจอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ได้แก่ เอทานอลจากกากน้ำตาล เยื่อกระดาษฟอกขาวจากชานอ้อย และธุรกิจผลิตจำหน่ายไฟฟ้าจากชานอ้อย โดยจะเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไป (ไอพีโอ) และกลุ่มผู้ถือหุ้นสิงคโปร์จำนวน 957 ล้านหุ้น คิดเป็น 24.64% ของทุนเรียกชำระแล้ว 3,274 ล้านบาท มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) 1 บาท ในราคาหุ้นละ 10 บาท ระหว่างวันที่ 21-23 เม.ย.นี้ และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) วันที่ 28 เม.ย. 2557
บริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น (KTIS) ผู้ประกอบธุรกิจผลิตน้ำตาลและจำหน่ายน้ำตาลทรายและธุรกิจอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ได้แก่ เอทานอลจากกากน้ำตาล เยื่อกระดาษฟอกขาวจากชานอ้อย และธุรกิจผลิตจำหน่ายไฟฟ้าจากชานอ้อย โดยจะเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไป (ไอพีโอ) และกลุ่มผู้ถือหุ้นสิงคโปร์จำนวน 957 ล้านหุ้น คิดเป็น 24.64% ของทุนเรียกชำระแล้ว 3,274 ล้านบาท มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) 1 บาท ในราคาหุ้นละ 10 บาท ระหว่างวันที่ 21-23 เม.ย.นี้ และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) วันที่ 28 เม.ย. 2557
การเข้าระดมทุนมูลค่า 9,570 ล้านบาท ครั้งนี้ เพื่อนำไปใช้ขยายกำลังการผลิตของโรงงานน้ำตาลทรายจำนวน 740 ล้านบาท สร้างโรงงานปุ๋ยชีวภาพใช้งบลงทุน 50 ล้านบาท เพิ่มกำลังการผลิตของโรงไฟฟ้าชีวมวลจากชานอ้อย 2 แห่ง ทั้งหมด 1,920 ล้านบาท คือ ที่ จ.อุตรดิตถ์ จำนวน 50 เมกะวัตต์ ที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ที่ผลิตไอน้ำแรงดันสูง ซึ่งกระแสไฟฟ้าส่วนหนึ่งจะนำไปใช้ในกระบวนการผลิตน้ำตาลของโรงงานไทยเอกลักษณ์ และที่เหลือจะขายไฟให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เพิ่มขึ้น 27.3 เมกะวัตต์ และที่ จ.นครสวรรค์ ที่บริษัทตั้งใจสร้างเป็นรายได้และกำไรกับบริษัทในระยะยาว
กระแสไฟฟ้าส่วนหนึ่งจะนำไปใช้ในกระบวนการผลิตโรงงานน้ำตาลที่เหลือขายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) คาดว่าในช่วงที่ฤดูหีบอ้อยจะขายให้ กฟผ.ได้ถึง 22 เมกะวัตต์ ลงทุนในโครงการผลิตน้ำเชื่อมและน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์พิเศษจำนวน 980 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จได้ในปี 2558 การผลิตก๊าซชีวภาพ 130 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะนำมาเป็นเงินทุนหมุนเวียน
“ประพันธ์ ศิริวิริยะกุล” กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม KTIS เปิดเผยว่า กลุ่ม KTIS มีโรงงานน้ำตาลทรายรวม 3 แห่ง ได้แก่ โรงงานน้ำตาลเกษตรไทย โรงงานน้ำตาลไทยเอกลักษณ์ และโรงงานน้ำตาลรวมผล ทำให้มีกำลังการผลิตโดยรวม 8.8 หมื่นตันอ้อยต่อวัน โดยโรงงานน้ำตาลเกษตรไทยมีกำลังการผลิตใหญ่ที่สุดในโลกถึง 5.5 หมื่นตันอ้อยต่อวัน โรงงานน้ำตาลรวมผล 1.5 หมื่นตันอ้อยต่อวัน และโรงงานน้ำตาลไทยเอกลักษณ์ 1.8 หมื่นตันอ้อยต่อวัน
KTIS เป็นผู้ประกอบธุรกิจน้ำตาลที่มีส่วนแบ่งรายได้เป็นอันดับ 3 ของประเทศ รองจากกลุ่มน้ำตาลมิตรผลและกลุ่มน้ำตาลไทยรุ่งเรือง ซึ่งสองบริษัทดังกล่าวไม่ได้จดทะเบียนใน ตลท. กลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมชั้นนำรายใหญ่ตั้งแต่บริษัท ไทยน้ำทิพย์ บริษัท คาราบาว ตะวันแดง บริษัท แลคตาซอย บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) บริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า บริษัท โอสถสภา เป็นต้น สำหรับกลุ่มลูกค้าต่างประเทศนั้นส่วนใหญ่เป็นบริษัทเทรดดิ้งชั้นนำของโลก
บริษัทมีรายได้หลักจากการผลิตน้ำตาล 80% ที่เหลือจะเป็นธุรกิจเกี่ยวเนื่อง 20% ของรายได้ทั้งหมด เบื้องต้นคาดว่าภายใน 5 ปี (25572561) สัดส่วนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องสัดส่วนรายได้จะเพิ่มขึ้นเป็น 4060% โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าชีวมวลที่มีกำลังการผลิต 60 เมกะวัตต์ ที่เริ่มรับรู้รายได้จากการขายไฟตั้งแต่ต้นไตรมาส 4 ปี 2556 เป็นส่วนเสริมให้รายได้รวมเพิ่มขึ้น และช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาน้ำตาลในตลาดโลกได้ระดับหนึ่ง
ปี 2556 ที่ผ่านมา KTIS ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลง (เอ็มโอยู) ให้กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่นคือ ซูมิโตโม คอร์ปอเรชั่น บริษัทเทรดดิ้งชั้นนำระดับโลก และนิสชิน ชูการ์ ผู้ผลิตน้ำตาลรีไฟน์รายใหญ่อันดับสองของญี่ปุ่นเข้ามาถือหุ้นในกลุ่ม KTIS หลังจากเข้า ตลท.แล้ว
ทั้งนี้ พันธมิตรทั้งสองจะนำความรู้ความชำนาญและประสบการณ์ในการเป็นเทรดดิ้งชั้นนำของโลกมาเพื่อขยายตลาดและฐานลูกค้า รวมถึงเทคโนโลยีด้านต่างๆ มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพิ่มมูลค่าและความหลากหลายให้ผลิตภัณฑ์ของกลุ่ม KTIS มากยิ่งขึ้น
ด้านผลการดำเนินงาน แม้ว่าบริษัทจะมีรายได้ปี 2556 เท่ากับ 1.8 หมื่นล้านบาท ลดลงจากปี 2554-2555 ที่มีรายได้ประมาณ 2.2-2.4 หมื่นล้านบาท
แต่กำไรสุทธิปี 2556 ดีกว่าปี 2555 อยู่ที่ 2,500 ล้านบาท และปี 2554 ที่ 1,110 ล้านบาท เนื่องจากมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำตาลมากขึ้น
สำหรับรายได้ปี 2557 ยังคงเป็นรายได้จากน้ำตาลเป็นหลัก ซึ่งจะเติบโตตามราคาในตลาดโลกที่ปรับตัวดีขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ 1718 เซนต์ต่อปอนด์ จากเดิมราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 14.75 เซนต์ต่อปอนด์ ทำให้มีการชะลอการปลูกอ้อยในหลายประเทศ
ขณะเดียวกัน ยังต้องรอดูสภาวะอากาศที่หน่วยงานของออสเตรเลียได้วิเคราะห์ไว้ว่าในช่วงเดือน เม.ย.พ.ค.นี้ จะเกิดเหตุการณ์เอลนินโญ หรือประสบภัยพิบัติแล้งในประเทศไทยและมีฝนตกหนักในประเทศบราซิล ซึ่งถือเป็นภัยแล้งมากที่สุดในรอบ 20 ปี
“ประพันธ์” กล่าวว่า ภายหลังบริษัทจดทะเบียนเข้า ตลท. คาดว่าจะสามารถติดอันดับ SET50 ทันที เพราะมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) มากกว่า 2 หมื่นล้านบาท และอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (ดีอี) ก็จะลดลงเหลือประมาณ 2 เท่า จากสิ้นปี 2556 อยู่ที่ 5 เท่า
อนาคตของบริษัทจะเติบโตได้อย่างมั่งคงหลังจากเข้า ตลท. ทำให้มีความคล่องตัวในการระดมทุน โดยใช้เครื่องมือทางการเงินที่หลากหลายช่วยในการขยายงานได้มากขึ้น
ปัจจุบันโครงสร้างธุรกิจได้ปรับตัว เพื่อให้ทุกกระบวนการผลิตของโรงงานน้ำตาลสามารถทำให้เกิดประโยชน์และแตกไลน์ไปสู่การผลิตผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทำให้มีรายได้ที่มีเสถียรภาพมากขึ้น ไม่ขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวของราคาน้ำตาลโลกเหมือนที่ผ่านมา
สิ่งสำคัญที่ “ประพันธ์” ผู้เริ่มบุกเบิกธุรกิจกับคุณพ่อที่เริ่มจากร้านยี่ปั๊วธรรมดา ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายครั้งและมีการฟื้นฟูกิจการมาเป็นเวลา 10 ปี
ปี 2540 บริษัทได้กู้เงินสกุลเหรียญสหรัฐ ทำให้หนี้ที่เคยมีอยู่จำนวน 4,0005,000 ล้านบาท เพิ่มเป็น 1 หมื่นล้านบาท แต่ก็สามารถจ่ายหนี้ได้ในปี 2550-2551
ปัจจุบันก้าวเข้าสู่ยุครุ่นที่ 3 ของตระกูล และได้วางนโยบายสำคัญโดยยึดหลักให้ความสำคัญกับชาวไร่อ้อย โดยมีสโลแกนกลุ่มว่า “หากชาวไร่อ้อยมีความมั่งคั่ง กลุ่ม KTIS ก็มั่นคง” จึงมีการช่วยกันพัฒนาระบบการปลูกอ้อย โดยใช้เทคโนโลยีเสริมการผลิตให้ได้จำนวนอ้อยต่อไร่มากขึ้น รวมถึงชาวไร่มีต้นทุนการปลูกที่ถูกลง
จึงให้นโยบายบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคทีซีมิโก้ จัดสรรหุ้นให้กับพี่น้องชาวไร่อ้อยด้วย และบริษัทได้สร้างความเข้าใจว่า พี่น้องชาวไร่อ้อยควรมีส่วนเป็นเจ้าของหุ้นนี้ด้วย
“คมกฤต มีคำสัตย์” ผู้อำนวยการฝ่ายตลาดทุน บล.เคทีซีมิโก้ ในฐานะผู้นำจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นเพิ่มทุน KTIS กล่าวว่า บริษัทมีปัจจัยพื้นฐานดีและมีจุดแข็งหลายอย่างตั้งแต่เป็นธุรกิจที่ทำธุรกิจมานานจนปัจจุบันเข้าสู่รุ่นที่ 3 และมีการทำธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องการผลิตน้ำตาล ไม่ว่าจะเป็นการผลิตเอทานอล มีหีบอ้อยที่สามารถนำไปผลิตไฟฟ้าเป็นเวลา 89 เดือน และที่สำคัญคือการมีผู้ร่วมทุนยักษ์ใหญ่ญี่ปุ่นนำความรู้และเทคโนโลยีมาช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ KTIS ด้วย


