posttoday

Dividend Growth ทางเลือกในการลงทุน

10 มีนาคม 2557

ในโลกการลงทุนมีแนวโน้มใหญ่ๆ หลายเรื่อง บทความนี้จะชี้ให้เห็นแนวโน้มที่หุ้นปันผลโต (Dividend Growth Stock) จะเด่นกว่าหุ้นปันผลทั่วไปในระยะยาว

ในโลกการลงทุนมีแนวโน้มใหญ่ๆ หลายเรื่อง บทความนี้จะชี้ให้เห็นแนวโน้มที่หุ้นปันผลโต (Dividend Growth Stock) จะเด่นกว่าหุ้นปันผลทั่วไปในระยะยาว

ส่วนใหญ่คงรู้จักหุ้นปันผล (Dividend Stock) อยู่แล้วว่า เป็นหุ้นที่มีประวัติการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ ไม่ใช่ว่าปีนี้จ่ายได้สูงลิ่ว แต่ปีถัดๆ ไปปันผลหดหาย หรือถึงขั้นไม่จ่ายเลย ดังนั้นหุ้นที่ให้ปันผลสูงๆ ประเดี๋ยวประด๋าว จึงอาจไม่ใช่หุ้นปันผล

กิจการที่จ่ายปันผลได้สม่ำเสมอ มักเป็นธุรกิจสาธารณูปโภคที่มีความมั่นคงสูง เช่น ไฟฟ้า ทางด่วน น้ำ กิจการเหล่านี้เติบโตช้าๆ แต่ไปได้เรื่อยๆ

หุ้นอีกกลุ่มที่นิยมลงทุน คือ Growth Stock หมายถึง หุ้นกำไรเติบโตสูงกว่าหุ้นทั่วไปเป็นเวลายาวนาน ค่าพี/อีที่เคยสูงจะลดลงเมื่อเวลาที่ผ่านไป เนื่องจากฐานกำไรใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง

หุ้นโตเร็วมักต้องกันเงินส่วนใหญ่ไว้ลงทุนต่อเนื่องเพื่อรักษาการเติบโต จึงทำให้จ่ายปันผลได้น้อย ผลตอบแทนจากปันผล (Dividend Yield) จึงค่อนข้างต่ำ

อย่างไรก็ดี หุ้นบางกลุ่มนอกจากกำไรจะเติบโตในระยะยาวแล้ว ยังสามารถเพิ่มการจ่ายเงินปันผล โดยไม่ต้องเพิ่มอัตราการจ่ายเงินปันผล (Dividend Payout Ratio)

กิจการเหล่านี้อาจมั่นคงน้อยกว่ากลุ่มสาธารณูปโภค แต่แนวโน้มเติบโตสูงกว่า ส่วนใหญ่ได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง เช่น การปรับวิถีชีวิตมาเป็นแบบชุมชนเมือง การก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย กระแสโลกาภิวัตน์ การนำไอทีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน

กลุ่มหลังนี้ ผู้นำธุรกิจหรือผู้ครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับต้นๆ มักมีจุดเด่นที่ทำให้รักษาขีดความสามารถในการแข่งขันได้ในระยะยาว กระแสเงินสดจากการดำเนินงานดี ทนแรงเสียดสีช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวได้ดี ธุรกิจที่อยู่ในข่ายนี้ เช่น ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ อาหารและเครื่องดื่มที่มีแบรนด์เป็นของตัวเอง มือถือ โรงพยาบาล เป็นต้น

แม้จะจ่ายปันผลน้อยในปีแรกๆ แต่ปันผลมีแนวโน้มเติบโตเร็วกว่า ในระยะยาวกลุ่มนี้จึงให้ยีลจากปันผลสูงกว่ากลุ่มแรก หากราคาหุ้นไม่เปลี่ยนแปลง

ยกตัวอย่างเช่น หากปันผลโต 10% ต่อปี ที่เคยให้ดิวิเดนยีล 3% เมื่อผ่านไปเพียง 5 ปี ยีลจะขึ้นมาเป็น 4.8% หากปันผลเร่งขึ้นเป็น 15% ต่อปี ยีลจะพุ่งขึ้นเป็น 6% ในช่วงเดียวกัน ขณะที่หุ้นที่ปันผลไม่โตเลย เมื่อเวลาผ่านไป 5 ปี ก็ยังจ่ายปันผล 3% เหมือนเดิม

เวลาที่ผ่านไปยิ่งนาน จะยิ่งเห็นความแตกต่างระหว่างหุ้นปันผลที่ไม่โตกับหุ้นปันผลโต

หากซื้อหุ้น APPLE เจ้าของไอโฟน ไอแพด เมื่อ 10 ปีก่อน ผลตอบแทนจากปันผลล่าสุดก็แตะ 100% ไปแล้ว ไม่รวมราคาหุ้นที่พุ่งขึ้นมาอีก

ถึงตรงนี้มา มาดูต่อว่าอะไรเป็นปัจจัยที่จะทำให้หุ้นปันผลโตดูเด่นกว่าหุ้นปันผลธรรมดา

ประการแรก ประชาคมโลกรวมถึงไทยได้เข้าสู่หรือกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ความต้องการรายได้ที่สม่ำเสมอเพื่อรองรับวัยเกษียณ จึงมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ประชากรสูงวัยเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง นำโดยญี่ปุ่น ยุโรป และสหรัฐ

กรณีสหรัฐ สัดส่วนประชากรที่อายุสูงกว่า 65 ปี ที่เคยทรงตัวอยู่ราว 12% ในช่วงปี 1990-2005 ค่อยๆ ขยับขึ้นอย่างช้าๆ มาอยู่ใกล้ 14% ในปัจจุบัน และมีแนวโน้มไต่ระดับขึ้นแตะ 20% ในปี 2030

กรณีไทย สัดส่วนผู้สูงวัยเกิน 65 ปี เพิ่มขึ้นจาก 9.5% ในปี 2010 เป็น 14% และ 20% ในปี 2021 และ 2033 ตามลำดับ

ประการที่ 2 ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผลตอบแทนจากดอกเบี้ยอยู่ในเกณฑ์ต่ำเมื่อเทียบกับในอดีต และมีแนวโน้มจะให้ผลตอบแทนต่ำไปอีกหลายปีข้างหน้า ความต้องการลงทุนในสินทรัพย์อื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า จึงมีแนวโน้มเติบโตอย่างชัดเจน

กรณีสหรัฐ บอนด์ยีล 10 ปี แตะจุดสูงสุดแถว 14% ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 จากนั้นค่อยๆ ลดลง ช่วงดังกล่าวผู้ถือตราสารหนึ้จึงได้รับผลตอบแทนสูงลิ่ว ทั้งในรูปอัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว และกำไรส่วนต่างราคา หากต้องขายก่อนครบกำหนดไถ่ถอน

บอนด์ยีล 10 ปี แกว่งซิกแซ็กลงจนแตะจุดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ เหลือไม่ถึง 2% หลังวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์เมื่อปลายปี 2008-2009 แม้จะไต่ขึ้นมาเกิน 2% แล้วในปัจจุบัน แต่ยังคงห่างไกลจากค่าเฉลี่ยระยะยาว 20-30 ปี ที่อยู่สูงกว่า 4% และ 5.5% ตามลำดับ

เมื่อประเมินจากการฟื้นตัวอย่างช้าๆ ของเศรษฐกิจโลก และเงินเฟ้อที่ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ จึงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าที่อัตราดอกเบี้ยจะขยับขึ้น

ที่สำคัญ ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น แม้ผู้ถือตราสารหนี้จะมีโอกาสได้อัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋วที่สูงขึ้นเมื่อลงทุนครั้งใหม่ แต่ตราสารอายุยาวๆ ที่ถืออยู่เสี่ยงจะขาดทุน หากต้องขายก่อนครบกำหนดไถ่ถอน

สรุปว่า การก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ขณะที่อัตราดอกเบี้ยยังต่ำ ทำให้มีความต้องการลงทุนในสินทรัพย์อื่นที่ให้ผลตอบแทนค่อนข้างสม่ำเสมอ แต่ต้องสูงกว่าของตราสารหนี้

หลังวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ราคาหุ้นที่ตกต่ำทั่วโลกมีส่วนทำให้ผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ดูน่าสนใจมากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับผลตอบแทนของตราสารหนี้ตามราคาตลาด (Bond Yield)

แม้ราคาหุ้นทั่วโลกจะฟื้นตัวขึ้นมาแล้วในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จนหลายตลาดทำสถิติสูงสุดในรอบหลายๆ ปี ในกรณีสหรัฐดัชนี S&P 500 ถึงขั้นทำสถิติปิดสูงสุดตลอดกาล อย่างไรก็ดี กระแสเงินสดของบริษัทที่ดีขึ้น ทำให้บริษัทใน S&P 500 กว่าครึ่งหนึ่งที่สามารถให้ Dividend Yield สูงกว่าบอนด์ยีล 5 ปี! เทียบกับค่าเฉลี่ย 30 ปีที่ผ่านมา มีบริษัทแค่ไม่ถึง 1 ใน 10 ที่สามารถทำแบบนั้นได้

ที่น่าสนใจกว่านั้น อัตราการจ่ายเงินปันผล (Dividend Payout Ratio) สำหรับบริษัทในสหรัฐอยู่ที่เพียง 35% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงปี 2000-2012 ที่ 54% ขณะที่ระดับเงินสดในกิจการของบริษัทที่ไม่ใช่สถาบันการเงินไต่ระดับขึ้นเป็นกว่า 3 เท่าตัว จากปี 2000 มาอยู่ที่เกือบ 1.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ นั่นหมายความว่าบริษัทเหล่านี้มีพื้นที่ในการเพิ่มการจ่ายเงินปันผลในอนาคต

เนื่องจากพื้นที่จำกัด ขอต่อครั้งหน้าครับ

ข่าวล่าสุด

"พลังงาน" สั่งเข้ม! ตรวจสอบปริมาณส่งออกน้ำมัน ทางบก-เรือ พร้อมร่วมมือกองทัพสกัดลักลอบส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา