การวิ่งเต้นและการให้สินบนเจ้าพนักงาน
การวิ่งเต้นล้มคดี การให้สินบนเจ้าพนักงานเป็นของคู่บ้านคู่เมืองของคนไทย ไม่ว่าจะหันหน้าไปทางไหนก็มีแต่เพื่อน พ้อง น้อง พี่ เพราะเมืองไทยเป็นระบบอุปถัมภ์ การวิ่งเต้นหรือการให้สินบนหรือสินน้ำใจแยกกันไม่ออก ทนายคลายทุกข์จึงขอนำคำพิพากษาของศาลฎีกาเกี่ยวกับการวิ่งเต้นและการให้สินบนเจ้าพนักงานว่ากรณีใดบ้างที่ถือว่าเป็นผู้เสียหายในเมื่อท่านถูกหลอก เสียเงินค่าวิ่งเต้นให้สินบนเจ้าพนักงานไปแล้ว
การวิ่งเต้นล้มคดี การให้สินบนเจ้าพนักงานเป็นของคู่บ้านคู่เมืองของคนไทย ไม่ว่าจะหันหน้าไปทางไหนก็มีแต่เพื่อน พ้อง น้อง พี่ เพราะเมืองไทยเป็นระบบอุปถัมภ์ การวิ่งเต้นหรือการให้สินบนหรือสินน้ำใจแยกกันไม่ออก ทนายคลายทุกข์จึงขอนำคำพิพากษาของศาลฎีกาเกี่ยวกับการวิ่งเต้นและการให้สินบนเจ้าพนักงานว่ากรณีใดบ้างที่ถือว่าเป็นผู้เสียหายในเมื่อท่านถูกหลอก เสียเงินค่าวิ่งเต้นให้สินบนเจ้าพนักงานไปแล้ว
กรณีไม่ถือว่าเป็นผู้เสียหาย
ผู้ที่จ่ายเงินให้กับบุคคลอื่นไปวิ่งเต้นอัยการ ผู้พิพากษาเพื่อให้หลุดพ้นคดีหรือฝากลูกเข้ารับราชการโดยไม่ต้องสอบ อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานฉ้อโกง (อ้างอิงคำพิพากษาฎีกาที่ 340/2506, 1461/2523, 1960/2534)
กรณีถือว่าเป็นผู้เสียหาย
ถ้าผู้เสียหายถูกหลอกแต่ไม่รู้ว่าผู้ที่หลอกลวงจะเอาเงินไปติดสินบนใคร เพียงแต่บอกว่านำเงินมาให้แล้วจะดำเนินการให้ได้ ผู้หลอกลวงหลอกลวงผู้เสียหายเพื่อต้องการเงินเท่านั้น ไม่ถือว่าผู้เสียหายร่วมกับคนหลอกลวงนำสินบนไปให้เจ้าพนักงาน กรณีนี้ถือว่าเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2(4) ดำเนินคดีฉ้อโกง (อ้างอิงคำพิพากษาฎีกาที่ 2440/2525, 4744/2537)
คำพิพากษาศาลฎีกาอ้างอิง
1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 340/2540
จำเลยยังไม่ได้ขายกิจการขายกิจการร้านข้าวต้มที่บ้านเลขที่ 3941 ถนนสุระสงคราม ต.ท่าหิน อ.เมืองลพบุรี จ.ลพบุรี แก่บุคคลใดแต่ยังเป็นกิจการของจำเลยอยู่และในการขอเปิดบัญชีเดินสะพัดต่อธนาคารจำเลยก็ระบุบ้านเลขที่ดังกล่าวเป็นที่อยู่ของจำเลย แม้จำเลยจะพักอาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ 24/2 หมู่ 2 ต.ท่าศาลา อ.เมืองลพบุรี อีกแห่งหนึ่งก็ถือได้ว่าจำเลยมีถิ่นที่อยู่หลายแห่ง ซึ่งอยู่สับเปลี่ยนกันไปหรือมีหลักแหล่งที่ทำการงานเป็นปกติหลายแห่ง จึงถือเอาแห่งใดแห่งหนึ่งเป็นภูมิลำเนาของจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 38 การที่เจ้าพนักงานศาลส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยที่บ้านเลขที่ 3941 ซึ่งเป็นร้านข้าวต้มดังกล่าวข้างต้น จึงเป็นการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยยังภูมิลำเนาของจำเลยโดยชอบแล้วจำเลยไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนด จึงถือได้ว่าจำเลยจ’ใจขาดนัดยื่นคำให้การ ที่จำเลยฎีกาว่ามูลหนี้ตามเช็คพิพาทเกิดจากการเล่นการพนัน จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายผู้มีชื่อ ซึ่งรับเช็คพิพาทจากจำเลยได้เสียการพนันสลากกินรวบแก่จำเลยเป็นเงิน 1.2 แสนบาท หนี้ตามเช็คพิพาทจึงเหลือเพียง 8 หมื่นบาท แต่ผู้มีชื่อไม่ยอมนำเช็คพิพาทมาแลกเช็คใหม่กับจำเลยและกลับโอนเช็คพิพาทแก่โจทก์อันเป็นการคบคิดกันฉ้อฉลจำเลยนั้น เมื่อจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การย่อมไม่มีประเด็นข้อพิพาทดังกล่าว แม้ศาลล่างทั้งสองจะวินิจฉัยให้ก็ไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1461/2523
น. เป็นหลานของ ว. สมัครสอบคัดเลือกเข้ารับราชการจำเลยบอก ว. ว่าจำเลยสามารถติดต่อวิ่งเต้นให้ น. สอบได้ ถ้าต้องการให้หาเงินมาให้ ว. หลงเชื่อมอบเงินให้จำเลยไป ผลที่สุดปรากฏว่า น. สอบไม่ได้ ดังนี้ ตามพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่า ว. มอบเงินให้จำเลยไปก็โดยมุ่งหมายจะให้กรรมการสอบช่วยให้ น. สอบได้ เท่ากับว่า ว. ใช้ให้จำเลยไปจูงใจให้เจ้าพนักงานกรรมการสอบรับทรัพย์สินเพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ ซึ่งจะเป็นคุณแก่ น. อาจถือได้ว่า ว. ใช้ให้จำเลยกระทำความผิด ว. จึงมิใช่ผู้เสียหายที่จะร้องทุกข์คดีนี้ได้ และพนักงานอัยการโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 340/2506)
3.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1960/2534
การที่ บ. และ ส. ตกลงให้เงินแก่จำเลยเพื่อนำไปมอบให้แก่คณะกรรมการสอบ หรือผู้สั่งบรรจุบุคคลเข้ารับราชการในตำแหน่งเสมียนได้ เพื่อให้ช่วยเหลือบุตรของตนเข้าทำงานในกรมชลประทานโดยไม่ต้องสอบนั้น เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายและระเบียบแบบแผนของทางราชการถือได้ว่า บ. และ ส. ใช้ให้จำเลยกระทำผิดนั่นเอง บ. และ ส. จึงมิใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานฉ้อโกง แม้จะได้ร้องทุกข์และพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนมาแล้วก็ไม่ทำให้โจทก์มีอำนาจฟ้อง
4.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2440/2525
จำเลยกับภริยาร่วมกันหลอกลวง ศ. ว่าสามารถนำบุตรของ ศ. เข้าเรียนเป็นผู้ช่วยพยาบาลในโรงพยาบาลได้ โดยไม่ต้องสอบคัดเลือกเข้าเรียนและเรียกร้องเอาเงินจำนวนหนึ่ง ศ. ตกลงและมอบเงินให้ภริยาจำเลยไป ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า ศ. ให้เงินไปเพื่อให้จำเลยหรือภริยานำไปให้แก่เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องในการสอบคัดเลือกให้กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยทุจริต พฤติการณ์น่าจะเป็นว่าจำเลยกับภริยาร่วมกันหลอกลวง ศ. เพื่อต้องการได้เงินจาก ศ. เท่านั้น ถือไม่ได้ว่า ศ. ได้ร่วมกับจำเลยนำสินบนไปให้เจ้าพนักงานอันเป็นการใช้ให้จำเลยกระทำผิด ศ. ย่อมเป็นผู้เสียหายตามกฎหมายและมีสิทธิร้องทุกข์
5.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4744/2537
จำเลยตกลงกับ ร. ว่า ถ้าให้เงิน 6 หมื่นบาท บุตรของ ร. จะเข้าโรงเรียนนายสิบทหารบกได้ ร. ได้ต่อรองเหลือ 5 หมื่นบาท และ ร. ได้มอบเงินแก่จำเลยจนครบถ้วนแล้วแต่ต่อมาบุตรของ ร. สอบเข้าเรียนไม่ได้ เพราะจำเลยไม่สามารถช่วยให้เข้าเรียนได้ก็เป็นการหลอกลวง ร. ทั้งไม่ปรากฏว่า ร. ได้ให้เงินแก่จำเลยเพื่อให้จำเลยนำไปให้แก่เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องในการสอบคัดเลือกให้กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยทุจริต การที่จำเลยรับว่าจะช่วยบุตรของ ร. จึงเป็นการหลอกลวง ร. เพื่อต้องการได้เงินจาก ร. เท่านั้นไม่ถือว่า ร. ร่วมกับจำเลยนำสินบนไปให้เจ้าพนักงาน อันเป็นการใช้ให้เจ้าพนักงานกระทำความผิด ร. ย่อมเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย และมีสิทธิร้องทุกข์ขอให้ดำเนินคดีแก่จำเลยในความผิดฐานฉ้อโกงได้ ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยว่า จำเลยหลอกลวงและได้รับเงินไปจากผู้เสียหายหรือไม่ เพื่อให้คดีเป็นไปตามลำดับชั้นศาล ศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่


