สังคมผู้สูงอายุวิกฤตหรือโอกาส
“สังคมผู้สูงอายุ” (Aging Society) วิกฤตหรือโอกาสต่อจากนี้ไปผู้สูงอายุทั่วโลกจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากรายงานของสหประชาชาติ รายงานว่า จำนวนประชากรโลกในปี ค.ศ. 2002 จำนวน 6,300 ล้านคน จะเพิ่มขึ้นเป็น 8,900 ล้านคน ในปี ค.ศ. 2050 ในจำนวนนี้จะมีผู้สูงอายุถึง 1,900 ล้านคน ขณะที่ผู้สูงอายุในสหรัฐอเมริกาจะเพิ่มขึ้นถึง 113 ล้านคน ในปี ค.ศ. 2025 เท่ากับครึ่งหนึ่งของประเทศ
“สังคมผู้สูงอายุ” (Aging Society) วิกฤตหรือโอกาสต่อจากนี้ไปผู้สูงอายุทั่วโลกจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากรายงานของสหประชาชาติ รายงานว่า จำนวนประชากรโลกในปี ค.ศ. 2002 จำนวน 6,300 ล้านคน จะเพิ่มขึ้นเป็น 8,900 ล้านคน ในปี ค.ศ. 2050 ในจำนวนนี้จะมีผู้สูงอายุถึง 1,900 ล้านคน ขณะที่ผู้สูงอายุในสหรัฐอเมริกาจะเพิ่มขึ้นถึง 113 ล้านคน ในปี ค.ศ. 2025 เท่ากับครึ่งหนึ่งของประเทศ
ประเทศไทยเราก็จะมีปริมาณเพิ่มขึ้นในทิศทางเดียวกัน ข้อมูลจากสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล (ม.ค. 2557) รายงานว่า ปัจจุบันมีจำนวนประชากรไทยที่อายุ 60 ปีขึ้นไป 9.92 ล้านคน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คาดว่าประชากรผู้สูงอายุจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นลำดับเส้นตรงดังนี้ ปี 2553 ร้อยละ 13.18 ปี 2558 ร้อยละ 15.9 , ปี 2563 ร้อยละ 19.13 , ปี 2568 ร้อยละ 22.93 และในปี 2583 จะมีสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุสูงถึงร้อยละ 32.13 ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ และต้องเป็นไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ และต้องยอมรับปัญหาที่จะเกิดตามมา เช่น ร่างกายเสื่อมสมรรถภาพ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้โรคภัยไข้เจ็บ ความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่การงานต่างๆ ลดลง นำมาซึ่งการ “เกษียณอายุ”
สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) ของเราจะมีตั้งแต่ผู้ยังมีสมรรถภาพ เต็มไปด้วยความรู้ ความคิด ความเชี่ยวชาญ มีชีวิตชีวา ไปจนถึงผู้ที่มีปัญหาทางอารมณ์ จิตใจ สุขภาพ ผู้ที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ และผู้ที่เลอะเลือน
“ระยะเวลานับถอยหลัง” ของคนกลุ่มนี้เป็นช่วงเวลาที่ยาวนานพอสมควร แต่กลับเป็นช่วงเวลาที่สังคมต้องคำนึงถึง เมื่อความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์เจริญรุดหน้ามากเท่าใด ก็จะยิ่งทำให้อายุของคนทั่วไปจะยืนยาวมากขึ้นเท่านั้นแต่ก็จะพบกับปัญหาสุขภาพเมื่อกายภาพเสื่อมโทรมลงตามธรรมชาติ ในขณะที่เกิดปัญหาทางสังคมที่เคยเป็นผู้ประกอบอาชีพแต่กลับต้องมาหยุดทำงาน สถานการณ์เช่นนี้หลายคนอาจมองว่าเป็นวิกฤต (Crisis) และน่าจะเป็นปัญหาสังคมอย่างแน่นอนเพราะจะมีแต่คนแก่ที่เสื่อมสมรรถภาพ เจ็บป่วย ไร้ความสามารถ จู้จี้ ขี้บ่น อารมณ์เสียหงุดหงิดง่าย น่ารำคาญเต็มบ้านเต็มเมืองใช่หรือไม่ แต่ถ้าลองมาคิดในมุมกลับ มันน่าจะเป็นโอกาสของธุรกิจได้ ดังที่หนังสือ “When the Gray is Golden Business in An Aging America” กล่าวว่า แนวโน้มโลกยุค Aging Society ควรเป็นโอกาสทองของการทำธุรกิจกับคนสูงอายุ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่ารายได้กว่า 8 แสนล้านเหรียญสหรัฐมาจากคนกลุ่มนี้ ในขณะที่รถยนต์หรู ราคาแพง เป็นของคนกลุ่มนี้กว่า 50% เป็นต้นเงินออมในสถาบันการเงินของสหรัฐก็เป็นของคนกลุ่มนี้ แต่ต้องระมัดระวังเพราะเป็นตลาดใหม่ และมีข้อจำกัดด้านจิตวิทยาที่ต้องศึกษาอย่างลึกซึ้ง โดยเกือบ 100% ไม่ต้องการให้เห็นว่าเขาคือ “คนแก่”
สถานการณ์ผู้สูงวัยในประเทศไทยก็ไม่ต่างกัน คนกลุ่ม “วัยทอง” เป็นตลาดใหม่ที่น่าสนใจในการลงทุนและมีศักยภาพมาก แต่นักการตลาดต้องศึกษาอุปนิสัยใจคอและพฤติกรรมให้ถึงแก่นของผู้สูงอายุอย่างถ่องแท้ เพราะคนกลุ่มนี้มีวัยวุฒิมาก คิดซับซ้อน ละเอียดถี่ถ้วน และอ่อนไหว
มากพอสมควร
หนังสือชื่อ “How to Reach Older Consumer” กล่าวว่า การตัดสินใจซื้อสินค้าของคนกลุ่มนี้แตกต่างจากกลุ่มคนหนุ่มสาวโดยสิ้นเชิง คนกลุ่มนี้มีรายละเอียดก่อนการซื้อมากพอควร จึงจำเป็นต้องให้ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจซื้อมากๆ ไม่ชอบการปิดการขายที่เร่งเร้า และควรใช้กลยุทธ์สร้างสัมพันธภาพอันแน่นแฟ้น จะทำให้ง่ายต่อการสร้าง “ลูกค้าที่สวามิภักดิ์” ต่อแบรนด์ ตลอดจนควรเน้นให้ความสำคัญ ยกย่อง ให้เกียรติหรือเอาใจใส่เป็นกรณีพิเศษ เลี่ยงที่จะไม่ใช้คำพูดหรือข้อความการสื่อสารที่สร้างความรู้สึกแบ่งแยกพวกเขาออกจากวัยอื่นๆ ด้วยคำว่า “คนแก่” ฉบับหน้าจะกล่าวถึงการบริหารการตลาดสินค้าหรือบริการที่เหมาะสมต่อผู้สูงอายุ
(ติดตามฉบับต่อไป)


