เมกาเชฟทุ่ม45ล้านบุกตลาดนอก
เมกาเชฟ ทุ่มอีก 45 ล้านบาท ลุยตลาดต่างประเทศ ปีนี้เน้นบุกอเมริกา ปีหน้าบุกตลาดยุโรป ไตรมาส 4 เปิดตัว ซีอิ๊ว พรีเมี่ยม
เมกาเชฟ ทุ่มอีก 45 ล้านบาท ลุยตลาดต่างประเทศ ปีนี้เน้นบุกอเมริกา ปีหน้าบุกตลาดยุโรป ไตรมาส 4 เปิดตัว ซีอิ๊ว พรีเมี่ยม
นายภาส นิธิปิติกาญจน์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท สินวารีพัฒนา ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำปลา และซอสหอยนางรม ภายใต้แบรนด์ เมกาเชฟ เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทตั้งเป้าที่จะส่งน้ำปลา และซอสหอยนางรมเข้าไปบุกตลาดเครื่องปรุงในประเทศสหรัฐอเมริกา ผ่านตัวแทนจำหน่าย โดยจะจัดจำหน่ายเข้าไปในซุปเปอร์มาเก็ตสำหรับชาวเอเชีย เช่น ซุปเปอร์มาเก็ตของชาวจีน, เวียดนาม, เกาหลี และญี่ปุ่น เป็นต้น รวมถึงการขาย หรือซับพลายวัตถุดิบให้กับผู้ผลิตเครื่องปรุงรายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา นั่นคือ แบรนด์ ไฮนซ์
นอกจากนี้ บริษัทยังเข้าไปนำเสนอสินค้าให้กับตัวแทนจำหน่ายสินค้ารายใหญ่ในประเทศอังกฤษอีกด้วย คาดว่าในระยะเริ่มต้นสำหรับยอดขายในต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นตลาดใหม่ของบริษัท โดยรวมกับยอดขายจากประเทศออสเตรเลียที่บริษัทเข้าไปบุกตลาดผ่านร้านค้าปลีก และร้านอาหารระดับ 5 ดาว เมื่อปีที่ผ่านมา จะช่วยผลักดันให้สัดส่วนยอดขายจากตลาดต่างประเทศปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 10% จาก 5% ในปีที่ผ่านมา ส่วนอีก 90% เป็นยอดขายภายในประเทศ
“ยอดขายสินค้าในต่างประเทศของบริษัทในปีนี้จะแบ่งเป็นยอดขายจากน้ำปลา และซอสหอยนางรม อย่างละ 50% เท่าๆ กัน ซึ่งตลาดที่ใหญ่ที่สุดสำหรับสินค้าประเภทเครื่องปรุง คือ ตลาดอเมริกา คาดว่าตลาดดังกล่าวเพียงตลาดเดียวมีสัดส่วนถึง 40% ของตลาดโลก และบริษัทตั้งเป้ายอดขายในระยะยาวหรือใน 5 – 10 ข้างหน้าสำหรับตลาดนี้ตลาดเดียวไว้ที่ 200 ล้านบาท” นายภาส กล่าวเพิ่มเติม
สำหรับการรุกตลาดต่างประเทศ บริษัทจำเป็นต้องลงทุนเพิ่มทางด้านเครื่องจักรเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอีกราว 15 – 20 ล้านบาท พร้อมกับงบส่งเสริมตลาดทั้งในและนอกประเทศอีก 10 – 15 ล้านบาท และงบอีก 10 ล้านบาท เพื่อการลงทุนผลิตซีอิ๊ว ภายใต้แบรนด์เมกาเชฟ ซึ่งจะจับตลาดพรีเมี่ยม คาดว่าจะเปิดตัวในช่วงเทศกาลเจ หรือไตรมาส 4 ของปีนี้ รวมแล้วในปีนี้บริษัทจะต้องลงทุนเป็นเงินราว 45 ล้านบาท
นายภาส เผยต่อว่า ซีอิ๊ว เมกาเชฟ จะเปิดตัวในประเทศไทยช่วงเดือน ต.ค. แต่บริษัทได้วางแผนที่จะส่งสินค้าดังกล่าวเข้าไปบุกตลาดต่างประเทศก่อน โดยจะทำตลาดไปพร้อมกับน้ำปลา และซอสหอยนางรม ในตลาดออสเตรเลีย อเมริกา และอังกฤษ
ทางด้านภาพรวมยอดขายของบริษัทในปีนี้ตั้งเป้าไว้ที่ 130 ล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมา 30% และบริษัทตั้งเป้าที่จะเป็นผู้นำตลาดน้ำปลา ซอสหอยนางรมระดับพรีเมี่ยม ในประเทศไทยภายใน 3 – 5 ปีข้างหน้าด้วยอัตราการเติบโตอย่างน้อยปีละ 30%
ปัจจุบันคาดว่าตลาดรวมน้ำปลาในประเทศไทยน่าจะมีมูลค่าราว 4,000 – 5,000 บาท เติบโตปีละ 5% ซึ่งในตลาดดังกล่าวมีตลาดน้ำปลาระดับพรีเมี่ยมอยู่ราว 10% หรือ 500 ล้านบาท ผู้นำตลาดดังกล่าวคือ น้ำปลาตราหอยนางรมด้วยส่วนแบ่งตลาด 30% เมกาเชฟ เป็นผู้นำตลาดอันดับ 2 ด้วยส่วนแบ่งตลาด 20% ส่วนตลาดซอสหอยนางรมในประเทศไทยน่าจะมีมูลค่าราว 2,500 ล้านบาท เติบโตปีละ 5% ผู้นำตลาดดังกล่าวคือ ซอสหอยนางรมตราสามแม่ครัว ที่คาดว่าน่าจะมีส่วนแบ่งตลาดราว 60 – 70%
ทั้งนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะรับจ้างผลิตสินค้าประเภทน้ำปลา และซอสหอยนางรม ให้กับแบรนด์ซุปเปอร์มาร์เก็ต คือ โฮล ฟู้ด (Whole Food) และเทรด์เดอร์ โจ (Trader Joe) ที่มีสาขาอยู่มากมายในประเทศสหรัฐอเมริกา หากบริษัทดำเนินการสำเร็จาดาดว่ายอดขายที่ตั้งเป้าไว้ในประเทศดังกล่าวจะเป็นไปได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว
ส่วนตลาดภายในประเทศ บริษัทวางแผนที่จะขยายตลาดไปยังต่างจังหวัดให้มากขึ้น แม้ว่าในปัจจุบันสัดส่วนรายได้จากตลาดดังกล่าวจะอยู่ที่ 15% ก็ตาม แต่กลับมีอัตราการเติบโตถึง 20% ในปีที่ผ่านมา ดังนั้นจึงเป็นตลาดที่มีศักยภาพมาก เพียงแต่ตลาดในประเทศไทยต้องอาศัยการให้ความรู้กับผู้บริโภคถึงข้อดีและข้อเสียในการเลือกรับประทานน้ำปลาที่มีคุณภาพ เปรียบเทียบกับน้ำปลาที่ไม่มีคุณภาพ


