posttoday

มหาอำนาจเหล็ก

07 มกราคม 2557

เดิมเออีซีไม่มีอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำที่ใช้สินแร่เหล็กเป็นวัตถุดิบและใช้เทคโนโลยีระดับแนวหน้าของโลกแต่อย่างใด โดยโรงถลุงเหล็กที่มีอยู่มีขนาดเล็กมากและความสามารถในการแข่งขันต่ำ หรือมิฉะนั้นก็เป็นการผลิตเหล็กจากเศษเหล็กโดยใช้เตาหลอมไฟฟ้า

เดิมเออีซีไม่มีอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำที่ใช้สินแร่เหล็กเป็นวัตถุดิบและใช้เทคโนโลยีระดับแนวหน้าของโลกแต่อย่างใด โดยโรงถลุงเหล็กที่มีอยู่มีขนาดเล็กมากและความสามารถในการแข่งขันต่ำ หรือมิฉะนั้นก็เป็นการผลิตเหล็กจากเศษเหล็กโดยใช้เตาหลอมไฟฟ้า

ความจริงแล้วไทยเป็นมหาอำนาจในอุตสาหกรรมเหล็กของเออีซี เนื่องจากมีอุตสาหกรรมเหล็กขั้นกลางน้ำแข็งแกร่งที่สุด ทั้งการผลิตเหล็กแผ่นรีดเย็น เหล็กแผ่นรีดร้อน เหล็กไร้สนิมรีดเย็น เหล็กก่อสร้าง ฯลฯ และมีศักยภาพสูงในเออีซีในการก่อตั้งอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำ เนื่องจากอุปสงค์ภายในประเทศระดับสูง โดยเฉพาะอุปสงค์ต่อเหล็กคุณภาพสูงสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทผลิตเหล็กยักษ์ใหญ่ของโลกต่างสนใจจะก่อสร้างโรงถลุงเหล็กในไทย แต่ความพยายามต้องสะดุดลง เนื่องจากเผชิญกับการต่อต้านจากเอ็นจีโอ มีความพยายามแก้ไขสถานการณ์อยู่บ้าง เช่น บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี ได้ไปซื้อโรงถลุงเหล็ก Teesside Cast Product (TCP) ในอังกฤษ เพื่อนำเหล็กที่ผลิตจากโรงงานแห่งนี้ส่งมารีดเป็นเหล็กแผ่นในไทย

สำหรับประเทศม้ามืดที่กลายเป็นมหาอำนาจในอุตสาหกรรมเหล็กของเออีซีในอนาคตจึงเป็นอินโดนีเซียและเวียดนาม สำหรับอินโดนีเซีย นายพลซูซิโล บัมบัง ยูโดโยโน ประธานาธิบดี เพิ่งทำพิธีเปิดโรงถลุงเหล็กมาตรฐานโลกแห่งแรกของเออีซีของบริษัท Krakatau Posco ที่เมือง Cilegon เมื่อปลาย ธ.ค. 2556 ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท Krakatau Steel (KRAS) รัฐวิสาหกิจของอินโดนีเซีย ถือหุ้น 30% และบริษัทโปสโก ของเกาหลีใต้ ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก ถือหุ้น 70% โครงการมีเตา Blast Furnace จำนวน 2 เตา กำลังผลิตรวม 6 ล้านตัน/ปี ตั้งบนพื้นที่ประมาณ 2,000 ไร่ ลงทุนรวม 2 แสนล้านบาท โดยเฟสแรกที่เพิ่งเปิดดำเนินการมีกำลังผลิต 3 ล้านตัน/ปี เพื่อป้อนตลาดในประเทศครึ่งหนึ่งและเพื่อส่งออกอีกครึ่งหนึ่ง

สำหรับโครงการเหล็กต้นน้ำแห่งที่ 2 ของเออีซีที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง นับเป็นโรงถลุงเหล็กขนาดยักษ์ ไม่เพียงจะเป็นโรงถลุงเหล็กใหญ่ที่สุดในเออีซีเท่านั้น แต่เป็นโรงถลุงเหล็กใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก เป็นการร่วมทุนของบริษัทไต้หวันสองบริษัท กล่าวคือ บริษัท ฟอร์โมซา ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของไต้หวัน ถือหุ้น 95% และบริษัท ไชน่าสตีล ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของไต้หวัน ถือหุ้น 5% ก่อสร้างที่ Vung Ang Economic Zone ในจังหวัด Ha Tinh ทางภาคเหนือของเวียดนาม ลงทุนรวมกว่า 9 แสนล้านบาท ตั้งบนพื้นที่กว้างขวางถึง 1.25 หมื่นไร่ จะมีเตา Blast Furnace มากถึง 6 เตา กำลังผลิตมากถึง 22.5 ล้านตัน/ปี เมื่อเปิดเต็มโครงการจะจ้างงานมากถึง 1 หมื่นคน

ปัจจุบันเริ่มก่อสร้างเฟสแรกจำนวน 2 เตา กำลังผลิต 7 ล้านตัน/ปี มูลค่าลงทุน 2.4 แสนล้านบาท โดยมีนายเหวียนเติ๋นยวุ๋ง นายกรัฐมนตรีของเวียดนาม เป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์ กำหนดเปิดดำเนินการ Blast Furnace เตาแรกเดือน พ.ค. 2558 และเปิดดำเนินการเตาที่ 2 ในปี 2559 และกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จทั้งโครงการในปี 2563

การตั้งฐานการผลิตเหล็กข้างต้นจะก่อให้เกิดอุตสาหกรรมปลายน้ำที่ใช้เหล็กเป็นวัตถุดิบตามมาอีกมากมายในสองประเทศ เช่น อุตสาหกรรมผลิตเหล็กแผ่น อุตสาหกรรมผลิตเหล็กก่อสร้าง อุตสาหกรรมต่อเรือ อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนโลหะ ฯลฯ จะส่งเสริมให้ทั้งสองประเทศกลายเป็นฐานอุตสาหกรรมหนักของเออีซีในอนาคต

ขณะเดียวกันนับเป็นความท้าทายของอุตสาหกรรมเหล็กของไทย ซึ่งเป็นเพียงการผลิตขั้นกลางน้ำเท่านั้น เนื่องจากทั้งสองโครงการของอินโดนีเซียและเวียดนามนับเป็นโรงงานผลิตเหล็กแบบครบวงจร โดยผลิตทั้งต้นน้ำและกลางน้ำต่อเนื่องกันไป ช่วยประหยัดต้นทุนทั้งไม่ต้องเสียพลังงานมา Reheat ทำให้เหล็กร้อนอีกครั้งหนึ่งก่อนนำไปรีดร้อน และลดต้นทุนโลจิสติกส์ ไม่ต้องเสียค่าขนส่งจากโรงถลุงเหล็กมายังโรงงานผลิตเหล็กขั้นกลางน้ำ ขณะเดียวกันนับเป็นโครงการขนาดใหญ่มาตรฐานโลก ก่อให้เกิดการประหยัดจากขนาด (Economies of Scale) ทำให้มีประสิทธิภาพสูงกว่าและต้นทุนการดำเนินการต่ำกว่า

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์-FWD คว้า 3 รางวัล Adman Awards 2025 ตอกย้ำเข้าถึงลูกค้าทุก Gen ด้วย "ประกันทรัพย์พอร์ตทุกวัย"