จีทีเอชสนลุยอะคาเดมี่ยกคุณภาพหนังไทย

หลังจากประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามกับเรื่องพี่มากพระโขนง ด้วยการกวาดรายได้ไปกว่า 1,000 ล้านบาท จากความสำเร็จที่เกินความคาดหมาย ประกอบกับสถานการณ์บ้านเมืองไม่เอื้อต่อการสร้างภาพยนตร์ไทยเข้าฉาย ซึ่งปกติในแต่ละปีจะผลิตไม่ต่ำกว่า 3 เรื่อง แต่ปี 2556 บริษัท จีทีเอช ขอพักเหนื่อยผลิตเพียง 1 เรื่องเท่านั้น นั่นก็คือ พี่มากพระโขนง

วิสูตร พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท จีทีเอช เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจในปี 2557 นี้ บริษัทจะกลับมาผลิตภาพยนตร์เข้าฉายตามปกติที่ 3 เรื่อง ซึ่งแต่ละเรื่องจะมีเนื้อหาที่แตกต่างกันไป โดยในส่วนของเรื่องแรกจะเป็นหนังรักโรแมนติกคอมเมดี้ ใช้ชื่อเรื่องว่า คิดถึงวิทยา เรื่องที่ 2 จะเป็นหนังผีแนวสยองขวัญ ใช้ชื่อเรื่องว่า เดอะ สวิมเมอร์ และเรื่องที่ 3 จะเป็นหนังตลก ขณะนี้ยังไม่ได้กำหนดชื่อเรื่อง

ภาพยนตร์ทั้ง 3 เรื่องที่อยู่ระหว่างดำเนินการสร้างในขณะนี้ วิสูตร เล่าว่า แต่ละเรื่องใช้งบลงทุนอยู่ที่ประมาณ 30 ล้านบาท ไม่รวมค่าโปรโมท เพราะแต่ละเรื่องจะมีค่าโปรโมทไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับกระแสและผลการตอบรับของผู้ชม

“งบการโปรโมทของหนังแต่ละเรื่องจะไม่เท่ากัน ยกตัวอย่างเรื่องพี่มากพระโขนง ช่วงแรกวางงบโปรโมทไว้เพียง 15 ล้านบาทเท่านั้น แต่พอหนังเริ่มเป็นกระแสมีคนดูเยอะขึ้น ทำให้ต้องเพิ่มงบโปรโมทขึ้นเรื่อยๆ จาก 15 ล้านบาท เป็น 40 ล้านบาท” วิสูตร กล่าว

นอกจากจะเดินหน้าสร้างภาพยนตร์เข้าฉายในโรงภาพยนตร์แล้ว จีทีเอชยังเดินหน้าต่อยอดธุรกิจภาพยนตร์ผ่านช่องทางธุรกิจอื่นๆ หนึ่งในนั้นคือ การขยายช็อปจีทีเอช ซึ่งจะเป็นร้านที่จำหน่ายสินค้าต่างๆ ของจีทีเอช เช่น วีซีดี ดีวีดี สินค้าที่ระลึกจากภาพยนตร์เรื่องต่างๆ ขณะนี้เปิด 3 แห่ง ปีนี้จะเปิดอีก 2 แห่ง

ปัจจุบันจีทีเอชมีรายได้จาก 4 ช่องทางหลัก คือ 1.ช่องทางโรงภาพยนตร์ สายหนัง และสปอนเซอร์ 2.ช่องทางโฮมเอนเตอร์เทนเมนต์ ผ่านช็อปจีทีเอช 3.ช่องทางเคเบิ้ลทีวี ซึ่งปัจจุบันจีทีเอชมีการผลิตละครให้กับช่องเคเบิ้ลทีวีในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ และ 4.ช่องทางฟรีทีวี

“จากธุรกิจที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เราต้องเดินหน้าหาบุคลากรใหม่ๆ เข้ามาช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในอนาคตเรามีแผนที่จะเปิดอะคาเดมี่ทำเป็นเหมือนกับโรงเรียน เพื่อสอนวิชาภาพยนตร์ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ และหากเป็นไปได้อยากทำเป็นหลักสูตรสอนตั้งแต่ ม.1ม.4” วิสูตร กล่าว

ปัจจัยที่ทำให้ วิสูตร อยากเปิดอะคาเดมี่ คือ การสร้างภาพยนตร์ให้มีคุณภาพในมาตรฐานเดียวกัน เพราะปัจจุบันภาพยนตร์ไทยยังขาดคุณภาพที่ต้องไปในทิศทางเดียวกัน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ภาพยนตร์ไทยยังไม่สามารถแข่งขันกับภาพยนตร์ต่างประเทศ หรือภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดได้ แนวความคิดดังกล่าวต้องได้แรงสนับสนุนจากภาครัฐเข้ามาช่วยกระตุ้นด้วย จึงจะประสบความสำเร็จ

“สิ่งที่หนังไทยต้องทำ คือ คุณภาพ ผมอยู่วงการนี้มา 30 ปี หนังไทยที่ผลิตออกมายังไม่มีคุณภาพเท่ากันเลย เพราะสิ่งนี้จึงทำให้หนังไทยไม่สามารถสร้างฐานคอหนังไทยได้ เท่าที่สังเกตประเทศไหนมีแชร์หนังตัวเองมากกว่า 50% ได้ ต้องมีความเป็นชาตินิยมมากๆ เช่น เกาหลี ที่เขานิยมดูหนังเกาหลี เนื่องจากเป็นประเทศชาตินิยม ใช้แต่สินค้าแบรนด์ในประเทศอย่างเดียว” วิสูตร กล่าว

สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมหนังปี 2556 ชะลอ ตัว มีหนังเข้าฉายแค่ 34 เรื่อง ต่ำกว่าจะมีฉาย 50 เรื่อง ส่วนปีนี้จะได้อานิสงส์หนังเรื่องตำนานสมเด็จ พระนเรศวรภาคสุดท้ายเข้าฉาย คาดปีนี้จะโตได้ตัวเลข 2 หลักสำหรับภาพรวมของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยในปี 2556 มีอัตราการเติบโตที่ชะลอตัว เนื่องจากทั้งปีมีภาพยนตร์เข้าฉายเพียง 34 เรื่องเท่านั้น ต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ว่าจะมีภาพยนตร์ไทยเข้าฉายไม่ต่ำกว่า 50 เรื่อง ซึ่งปัจจัยที่เกิดขึ้นดังกล่าวส่งผลให้ภาพรวมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยในปี 2556 มีมูลค่าเพียง 1,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2555 ที่มีมูลค่า 1,080 ล้านบาทเท่านั้น

แม้ว่าภาพรวมอุตสาหกรรมหนังไทยปีนี้จะพลาดเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ แต่จากการที่บรรดาผู้ประกอบการหนังไทยปรับแผน และระดมกำลังออกมาผลิตหนังไทยป้อนตลาดมากขึ้นในปี 2557 นี้ ซึ่งจีทีเอชถือเป็นหนึ่งในจำนวนดังกล่าวที่ออกมาเปิดแผนผลิตหนังไทยเพิ่ม

จากแนวโน้มดังกล่าวประกอบกับปีนี้จะได้รับอานิสงส์จากการที่หนังเรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรภาคสุดท้ายเข้าฉาย น่าจะส่งผลให้ภาพรวมอุตสาหกรรมหนังไทยในสิ้นปี 2557 นี้ กลับมามีอัตราการเติบโตได้ในตัวเลข 2 หลักอย่างแน่นอน แต่จะจบที่ตัวเลขเท่าไหร่นั้น ยังเหลือเวลาอีก 1 ปีเต็มให้คอยลุ้น