'พีทีที พีเอ็ม' ยึดหลักธรรมมาภิบาล ขับเคลื่อนองค์กรอย่างมืออาชีพ

บริษัท พีทีที โพลีเมอร์ มาร์เก็ตติ้ง (พีทีที พีเอ็ม) เป็นบริษัทในกลุ่ม ปตท. เริ่มก่อตั้งขึ้นมาเมื่อเดือน มิ.ย. 2548 มีบทบาทสำคัญในการดำเนินธุรกิจทางการตลาดและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์ของกลุ่ม ปตท. ดำเนินธุรกิจพลังงานและปิโตรเคมีอย่างครบวงจร โดยเป็นหนึ่งในผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีรายใหญ่ของไทย และเป็นผู้นำเอเชียที่มีกำลังการผลิตโพลีเมอร์กว่า 3 ล้านตันต่อปี

สำหรับผลิตภัณฑ์ของกลุ่ม ปตท.ที่พีทีที พีเอ็ม รับผิดชอบในการจัดจำหน่าย ประกอบไปด้วย เม็ดพลาสติกโพลีเอททิลีน ชนิดความหนาแน่นสูง (HDPE) เม็ดพลาสติกโพลีเอทิลีน ชนิดความหนาแน่นต่ำ (LDPE) และเม็ดพลาสติกโพลีเอทิลีน ชนิดความหนาแน่นต่ำเชิงเส้น (LLDPE) เม็ดพลาสติกโพลีโพรพิลีน (PP) และเม็ดพลาสติกโพลีสไตรีน (PS)

การดำเนินงานที่ผ่านมา บริษัทได้นำหลักบรรษัทภิบาลมาปรับใช้กับการจัดหาสินค้าและบริการที่มีคุณภาพให้แก่ลูกค้า การดูแลบุคลากร ตลอดจนการพัฒนาองค์กรด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นที่มาของการได้รับรางวัลโล่ประกาศเกียรติคุณจรรยาบรรณดีเด่น หอการค้าไทย ประจำปี 2556

ศุภโชค เลี่ยมแก้ว กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โพลีเมอร์ มาร์เก็ตติ้ง (พีทีที พีเอ็ม) กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจของพีทีที พีเอ็ม ตลอดหลายปี มุ่งมั่นในการส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพ เพื่อสร้างความพึงพอใจกับลูกค้า ด้วยการดำเนินงานอย่างมีจรรยาบรรณ ภายใต้ระบบบริหารจัดการที่ดี ส่งผลให้บริษัทมีศักยภาพในการแข่งขัน สามารถป้องกันความเสี่ยงทางธุรกิจและขจัดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้น อันจะนำไปสู่ผลการดำเนินงานที่เป็นเลิศและยั่งยืน

สำหรับกลยุทธ์สำคัญในการบริหารองค์กรนั้น มุ่งเน้นการบริหารการตลาดโพลีเมอร์อย่างมืออาชีพให้บริษัทในกลุ่ม ปตท. เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพในการบริหารจัดการองค์กร รักษาความเป็น Best in Class ในด้านต้นทุนและค่าใช้จ่ายทางการตลาดภายใต้กระบวนการทำงานที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับ Stakeholders หลายบริษัท และให้ความสำคัญต่อการนำ SPIRIT ซึ่งเป็นค่านิยมองค์กรของกลุ่ม ปตท. มาปรับใช้ในกระบวนการทำงานต่างๆ ประกอบไปด้วย 1.SSynergy 2.PPerformance 3.EExcellence 4.IInnovation 5.RResponsibility for Society 6.IIntegrity และ 7.TTrust and Respect

นอกจากนี้ บริษัทไม่มีนโยบายหรือแนวปฏิบัติใดๆ ที่จะให้เงินหรือสิ่งของแก่ผู้หนึ่งผู้ใดเพื่อชักนำให้กระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องและไม่ส่งเสริมการกระทำดังกล่าวบริษัทมีการแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดี ซึ่งจะจัดกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ และส่งเสริมให้พนักงานปฏิบัติตนตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีอย่างต่อเนื่อง

เมื่อกล่าวถึงคำจำกัดความของ “จรรยาบรรณ พีทีที พีเอ็ม” ก็คือการให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายอย่างยุติธรรมและเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้ถือหุ้น ลูกค้า และคู่ค้า รวมถึงการประสานงานกับธนาคาร เพื่อให้บริการทางการเงินครบวงจรแก่คู่ค้า ทั้งโครงการสนับสนุนสภาพคล่องและลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจให้แก่ผู้แทนจำหน่ายของบริษัท และการทำ Bank Payment Obligation (BPO) ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมทางการเงินที่อำนวยความสะดวกด้านการชำระเงินระหว่างประเทศสำหรับผู้ส่งออกและผู้นำเข้าเป็นแห่งแรกในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน

ด้านการดูแลพนักงานของ พีทีที พีเอ็ม กำหนดนโยบายการพิจารณาผลตอบแทน สวัสดิการ และเงินรางวัลให้แก่พนักงานอย่างเป็นธรรมตามข้อบังคับ รวมถึงการตระหนักถึงความสำคัญในความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

ศุภโชค กล่าวถึงช่วง 5 ปีที่ผ่านมาพีทีที พีเอ็ม มีอัตราเติบโตด้านรายได้เฉลี่ยปีละ 30% โดยปี 2555 มียอดขาย 7 หมื่นล้านบาท ขณะที่เป้าหมายในอนาคตยังมุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัทค้าสากลด้านโพลีเมอร์ที่มียอดขายแสนล้านบาท หรือ International Polymer Trading House ในปี 2558 โดยปีนี้คาดว่าบริษัทจะมีรายได้ประมาณ 7.8 หมื่นล้านบาท

นอกจากนี้ ยังได้วางแผนการให้บริการบริษัทในกลุ่ม ปตท. ที่มีการขยายธุรกิจในอนาคต เช่น การตลาดและการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Specialty ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติก PMMA และพลาสติกชีวภาพ ได้แก่ PBS และ PLA โดยบริษัทยังมีแนวทางในการขยายธุรกิจ Trading ไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก จากปัจจุบันที่มีฐานลูกค้าอยู่กว่า 100 ประเทศ

อย่างไรก็ตาม พีทีที พีเอ็ม ไม่ได้เพียงแค่จัดหาสินค้าและบริการที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้าเท่านั้น แต่ทีมงานที่เป็นมืออาชีพสำหรับผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์ ยังพร้อมด้วยระบบบริหารจัดการที่เป็นเลิศด้วยนวัตกรรมทางการค้าบนระบบอิเล็กทรอนิกส์ อีกทั้งส่งเสริมศักยภาพของกลุ่ม ปตท. ในการเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลก ปัจจุบันบริษัทได้จัดตั้งบริษัท โพลีเมอร์มาร์เก็ตติ้ง ดีเอ็มซีซี ณ รัฐดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีสำนักงานตัวแทน ณ เมืองกว่างโจว และเมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม และกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย อีกทั้งจะขยายการดำเนินธุรกิจไปยังประเทศต่างๆ ในอนาคตอันใกล้