บาป 7 ประการ ...คานธี
เห็นภาวะการเมืองและสังคมไทยวันนี้ ทำให้อดคิดถึงอมตวาจาของมหาตมะ คานธี เอกบุรุษของโลกชาวอินเดีย ที่ได้กล่าวถึงบาป 7 ประการ ดังนี้
เห็นภาวะการเมืองและสังคมไทยวันนี้ ทำให้อดคิดถึงอมตวาจาของมหาตมะ คานธี เอกบุรุษของโลกชาวอินเดีย ที่ได้กล่าวถึงบาป 7 ประการ ดังนี้
Politics without principles, Pleasure without conscience, Wealth without work Knowledge without character, Commerce without morality, Science without humanity, Worship without sacrifice เล่นการเมืองโดยไม่มีหลักการ หาความสุขสำราญโดยไม่ยั้งคิด ร่ำรวยเป็นอกนิษฐ์โดยไม่ต้องทำงาน มีความรู้มหาศาลแต่ความประพฤติไม่ดี ค้าขายโดยไม่มีหลักศีลหลักธรรม วิทยาศาสตร์เลิศล้ำแต่ไม่มีธรรมแห่งมนุษย์ บูชาสูงสุดแต่ไม่มีความเสียสละ (เรืองอุไร กุศลาศัย/แปล)
ผมขอยกบาปบางประการมากล่าวในที่นี้ ดังนี้ครับ
เล่นการเมืองโดยไม่มีหลักการ
การประกาศอย่างแข็งขันของรัฐบาลที่จะผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่ง โดยอ้างวิบัติตรรกะ คือเหตุผลทีอ้างเพื่อประโยชน์ของตนเอง ละเว้นหลักแห่งความยุติธรรมพืนฐาน คือ ทุกคนสมควรที่จะต้องรับผิดชอบการกระท่ำของตนเอง ผู้ที่ทำผิดควรจะต้องผ่านพิจารณาตัดสินโทษตามกระบวนการยุติธรรม การนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่งเพื่อล้างความผิดให้ทุกคน โดยเฉพาะความผิดทางอาญา ไม่ว่าจะเป็นผู้สั่งฆ่า ผู้ฆ่า คนที่เผาบ้านเผาเรือน ผู้ยั่วยุ ฯลฯ เป็นเรื่องที่ผิดหลักการยุติธรรมอย่างยิ่ง และจะส่งผลระยะยาวต่อความศรัทธาต่อความดี ต่อคุณธรรม ต่อหลักการของคนไทยในอนาคต และเมื่อคนไทยขาดศรัทธาต่อความดี ประเทศไทยในอนาคตก็อาจเป็นประเทศที่ไม่มีใครให้ความเชื่อถือ
มีความรู้มหาศาลแต่ความประพฤติไม่ดี
แม้อาจจะมีบางสำนักออกมาให้ข่าวว่าการศึกษาของไทยมีปัญหา แต่สิ่งหนึ่งที่สังเกตุเห็นและน่าแปลกใจมากขึ้น ก็คือ การกระทำที่ผิดจรรยาบรรณ ศีลธรรม หรือ กฎหมาย กลับพบมากในกลุ่มผู้ที่มีความรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มนักการเมืองผู้บริหารประเทศในปัจจุบัน หากมองที่ระดับการศึกษา นักการเมืองส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีความรู้และความน่าเชื่อถือในการทำงานมาก่อน แต่เมื่อมาอยู่ในแวดวงการเมือง ความรู้ที่มี ความน่าเชื่อถือที่สร้างมากลับสูญหายไป การใช้ปัญญาเพื่อถกปัญหาก็ไม่มี กลายเป็นการกล่าววาจาก้าวร้าว เหน็บแหนมกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยคิดว่าจะพบในกลุ่มคนที่มีประวัติน่าเชื่อถือเช่นนี้ จนบางท่านที่ผมเคยนับถือ กลายเป็น failed person สำหรับผมไปแล้ว คือ ไม่ให้ค่าในคำพูด เลย
ค้าขายโดยไม่มีหลักศีลหลักธรรม
ปัจจุบันวิวัฒนาการของสินค้าและบริการต่างๆมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างที่ธุรกิจที่ผมทำงานอยู่ คือ ธุรกิจด้านการเงินที่มีวิวัฒนาการมากขึ้นทุกปี ในด้านหนึ่งก็เป็นสิ่งที่ดีที่ประชาชนมีโอกาสเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับตนเองได้ แต่อีกด้านก็คือ ยิ่งผลิตภัณฑ์การเงินซับซ้อนมากเท่าไหร่ การเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมยิ่งยากมากขึ้นเท่านั้น หากพ่อค้าหรือผู้เสนอผลิตภัณฑ์เป็นผู้ที่มีจรรยาบรรณ ประชาชนก็จะได้รับประโยชน์ แต่ในปัจจุบันด้วยการแข่งขันที่รุนแรง หลายคนจึงมองที่ประโยชน์ของตนเอง เสนอผลิตภัณฑ์ที่ตนเองได้รับประโยชน์สูงสุด โดยที่ไม่มองเลยว่าการทำเช่นนั้นเป็นการตอบแทนคนที่ไว้วางใจเราอย่างเลวร้ายที่สุด หลายคนต้องเสียทรัพย์สินที่สะสมมาตลอดชีวิตให้กับความไว้วางใจที่ตนให้กับผู้อื่น หลายคนต้องอยู่อย่างลำบากก็จากความไว้วางใจเช่นกัน ตัวอย่างของกรณีเหล่านี้ เราจะพบเห็นบ่อยๆในหน้าเว็บต่างๆ เช่น พันทิป เป็นต้น
บูชาสูงสุดแต่ไม่มีความเสียสละ
แม้ว่าคนไทยจะมีความหลากหลายในวัฒนธรรม ในศาสนา บางคนอาจชอบเรื่องไสยศาสตร์ บางคนเชื่อมั่นในพระเจ้า บางคนเชื่อมั่นในพระธรรม ฯลฯ แต่ผมก็เชื่อมั่นว่า คนไทยส่วนใหญ่เชื่อมั่นในความดี ความถูกต้อง แต่ที่คนไทยส่วนใหญ่ขาดคือ ความเสียสละ เพื่อที่จะรักษาความดี ความถูกต้อง ให้อยู่กับสังคมไทย
ในที่ประชุม การนิ่งเฉย คือ การยอมรับ ในสังคมก็เช่นกัน หากเรานิ่งเฉยต่อความไม่ดี ความไม่ถูกต้อง ก็คือ เรายอมรับและส่งเสริมในความไม่ดี ความไม่ถูกต้องนั้นเช่นกัน ดังนั้นหากเรายังไม่ยอมเสียสละเพื่อรักษาความดี ความถูกต้อง คนที่สมควรรับผิดชอบต่อหายนะที่เกิดขึ้น ก็คือ เราด้วยเช่นกัน


