"อาร์สยาม" จัดหนักรุกตลาดบันเทิงอาเซียน
โดย...ชลธิชา ภัทรสิริวรกุล
โดย...ชลธิชา ภัทรสิริวรกุล
แม้ภาพรวมธุรกิจบันเทิงยังขยายตัวและมีโอกาสเติบโตดีในตลาดอาเซียน แต่หากเจาะไปที่ธุรกิจเพลง พบว่ากลับมีรายได้หดตัวอย่างต่อเนื่อง เพราะปัจจุบันการเข้าถึงไม่ได้จำกัดอยู่ที่การซื้อแผ่นซีดีเพลง แต่ผู้บริโภคสามารถดาวน์โหลดหรือดูผ่านเว็บไซต์ยูทูบได้ ศุภชัย นิลวรรณ กรรมการผู้จัดการ ค่ายเพลงอาร์สยามในเครือบริษัท อาร์เอส ยอมรับว่า ธุรกิจเพลงมีรายได้ลดลงต่อเนื่อง ทำให้ต้องหันไปต่อยอดธุรกิจสื่อและทำการตลาดแทน เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับศิลปินและคอนเทนต์ที่มีอยู่
อาร์สยามโชคดีที่มีธุรกิจครบวงจรทำให้ประคองตัวอยู่แถวหน้าของวงการบันเทิงลูกทุ่งได้ไม่ยาก ขณะที่ค่ายเพลงขนาดเล็กที่ไม่มีศักยภาพมากเพียงพอได้ทยอยล้มหายตายจากไป ทำให้อาร์สยามมีส่วนแบ่งการตลาดสูงขึ้น แม้ว่าเม็ดเงินตลาดรวมจะลดลง โดยคาดว่าปีนี้ส่วนต่างกำไร (มาร์จิ้น) จะเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 50%
บริษัทยังได้ปรับสัดส่วนธุรกิจตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยปีนี้ปรับเพิ่มสัดส่วนธุรกิจสื่อบันเทิงเป็น 65% จากเดิมอยู่ที่ 50% ขณะที่สัดส่วนธุรกิจเพลงมีแนวโน้มลดลงจาก 50% เหลือ 35% ในปีนี้
ขณะเดียวกันอาร์สยามยังมีแผนต่อยอดความแข็งแกร่งเพื่อดึงเม็ดเงินจากการโฆษณาและประชาสัมพันธ์จากกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านกลุ่มอาเซียน โดยใช้กลยุทธ์ความเป็นศูนย์กลางมีเดียคอนเทนต์บันเทิงแบบครบวงจร (CCA) โดยวางแนวทางตลาดไว้ 2 แนวทางคือ 1.เปิดรับตลาดประชาคมอาเซียน (เออีซี) ด้วยการดึงศิลปินในประเทศเพื่อนบ้านเข้ามามีส่วนร่วมในการผลิตผลงานกับค่ายอาร์สยาม เพื่อเพิ่มความคึกคักให้กับตลาดเพลง
เบื้องต้นจะเริ่มทำการตลาดกับกลุ่มแรงงานต่างด้าวในกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขง (ซีแอลเอ็มวี) ได้แก่ กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม ที่ทำงานในประเทศไทย โดยเฉพาะตลาดแรงงานพม่าที่ถือเป็นตลาดใหญ่ ซึ่งคาดว่ามีแรงงานพม่าในประเทศไทย ทั้งแบบถูกและผิดกฎหมายไม่ต่ำกว่า 12 ล้านคน โดยตั้งเป้าเจาะตลาดครองใจคนกลุ่มนี้ให้ได้ภายใน 2 ปี
“เราจะเริ่มเจาะกลุ่มแรงงานต่างด้าวในไทย ซึ่งเป็นตลาดใหญ่และยังไม่มีใครเคยรุกตลาดกลุ่มนี้มาก่อน เราคิดว่าจะทำตลาดได้ง่าย เพราะมีคอนเทนต์อยู่แล้ว อีกทั้งยังเป็นการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคของตลาดอาเซียนไปในตัว”
แนวทางที่ 2 คือ การรุกด้านโฆษณาประชาสัมพันธ์ไปยังประเทศเพื่อนบ้านเออีซี โดยเน้นสื่อทีวีดาวเทียม สื่อดิจิตอล สื่อโซเชียลเน็ตเวิร์ก การจัดโรดโชว์และคอนเสิร์ตต่างๆ เพื่อขยายตลาด
ศุภชัย มองว่า ไทยถือเป็นประเทศที่ได้เปรียบในแง่การเป็นศูนย์กลางของธุรกิจบันเทิง (ลูกทุ่ง) เพราะประเทศเพื่อนบ้านมีธุรกิจบันเทิงขนาดเล็กกว่า ดังนั้นบริษัทไทยจึงก้าวเป็นผู้นำได้ไม่ยาก นอกจากนี้การที่อาร์สยามมีแนวคิดเจาะตลาดอาเซียนอย่างจริงจังเป็นรายแรกๆ ทำให้คิดว่ายังไม่มีคู่แข่งทางธุรกิจ เพราะแต่ละบริษัทมีแนวทางทำธุรกิจของตัวเอง แต่ในภาพรวมหากมีการแข่งขันกันก็จะเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะตัวคอนเทนต์และคุณภาพงานจะเป็นตัวกำหนด ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้บริโภค
แม้ว่าแผนในอนาคตยังไม่ได้ตั้งเป้าหมายอย่างจริงจัง เพราะต้องการมองเป็นระยะๆ ไป เพื่อปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ แต่เชื่อว่าทั้งสองแนวทางที่วางไว้น่าจะใช้เป็นรูปแบบการขยายฐานเข้าสู่ตลาดอาเซียนได้ไม่ยาก


