ช่อง 3 โชว์เหนือผลิตรายการโดนใจผู้ชม
ยังคงแข่งขันกันอย่างรุนแรงสำหรับฟรีทีวีช่องหลักอย่างช่อง 3 และช่อง 7 ซึ่งกลยุทธ์ที่ช่อง 3 งัดออกมาใช้ยังคงเน้นไปที่ความเข้มข้นของข่าว และแนวละครที่หลากหลาย เน้นดูแล้วสนุก โดยหลังจากปรับกลยุทธ์ผลิตรายการให้ตรงกับความต้องการของผู้ชมมากขึ้น ส่งผลให้ช่อง 3 มีเรตติ้งที่ก้าวกระโดดผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะกับคู่แข่งตลอดกาลอย่างช่อง 7
ยังคงแข่งขันกันอย่างรุนแรงสำหรับฟรีทีวีช่องหลักอย่างช่อง 3 และช่อง 7 ซึ่งกลยุทธ์ที่ช่อง 3 งัดออกมาใช้ยังคงเน้นไปที่ความเข้มข้นของข่าว และแนวละครที่หลากหลาย เน้นดูแล้วสนุก โดยหลังจากปรับกลยุทธ์ผลิตรายการให้ตรงกับความต้องการของผู้ชมมากขึ้น ส่งผลให้ช่อง 3 มีเรตติ้งที่ก้าวกระโดดผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะกับคู่แข่งตลอดกาลอย่างช่อง 7
สมรักษ์ ณรงค์วิชัย รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายผลิตรายการช่อง 3 บริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ กล่าวว่า แผนการดำเนินธุรกิจของช่อง 3 นับจากนี้ จะเน้นการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้กับธุรกิจ รวมทั้งนำเสนอรูปแบบรายการใหม่ๆ ที่แตกต่างไปจากเดิมมาให้ผู้บริโภคได้รับชม เพราะหลังจากบริษัทมีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ในการผลิต ส่งผลให้สามารถนำนิยายดีๆ เรื่องที่เมื่อก่อนไม่สามารถสร้างได้เพราะเทคโนโลยีไม่พร้อม ปัจจุบันสามารถทำได้แล้ว
ปัจจุบันช่อง 3 มีสัดส่วนรายการข่าวอยู่ที่ประมาณ 40% ที่เหลืออีก 60% เป็นรายการบันเทิงและรายการรูปแบบอื่นๆ ซึ่งช่อง 3 จะมีการผลัดเปลี่ยนตลอดเวลา และรายการในรูปแบบซีซั่นนิ่งโปรแกรมก็เป็นอีกหนึ่งรูปแบบรายการที่ช่อง 3 หันมาให้ความสำคัญ เพราะหลังจากทดลองทำมาหลายรายการไม่ว่าจะเป็นไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์ เทคมีเอ้าท์ หรือมิสคันทรี่เกิร์ลไทยแลนด์ ล้วนแต่ได้รับผลการตอบรับที่ดี
“รายการซีซั่นนิ่งโปรแกรมของช่อง 3 จะมีด้วยกัน 4 โปรแกรม ซึ่งจะผลัดเปลี่ยนไปตามฤดูกาลเน้นช่วงวันเสาร์ และวันอาทิตย์เป็นหลัก ช่วงเวลาที่ออกอากาศจะอยู่ที่ประมาณ 17.30-19.45 น. แล้วแต่ละรายการ โดยหลังจากนำรายการซีซั่นนิ่งมาออกอากาศ หากเข้าไปดูในเว็บไซต์พันทิปจะพบว่ามีคนพูดถึงรายการของเราเยอะมาก ส่งผลให้แต่ละรายการมีเรตติ้ง 2 หลักมาปีกว่าแล้ว” สมรักษ์ กล่าว
นอกจากนี้ ละครถือเป็นอีกหนึ่งรายการที่ได้ผลการตอบรับที่ดีจากผู้ชม เพราะแต่ละเรื่องมีเรตติ้งตั้งแต่ 10-13 ซึ่งในส่วนของละครใหม่ที่กำลังออกอากาศไม่ว่าจะเป็นทองเนื้อเก้า อันโกะ กลรักสตรอว์เบอร์รี่ หรือเดอะ ซิกซ์เซ้นส์ สื่อรักสัมผัสหัวใจ ภาค 2 ทุกเรื่องได้ผลการตอบรับที่ดีจากผู้ชม
“จากผลการตอบรับที่ดีจากผู้ชมที่สามารถดูได้จากโลกอินเทอร์เน็ต ส่งผลให้เราไม่ค่อยเชื่อผลการวัดเรตติ้งของเอซี นีลเส็น นัก เพราะบางครั้งไม่น่าเชื่อถือ ซึ่งผลการตอบรับที่ดีดังกล่าวอาจเป็นเพราะเราปรับตัว ธุรกิจทีวีต้องทำงานทุกวัน ซึ่งฝ่ายข่าวก็ปรับตัวเรื่อยๆ ขณะที่ละครเองจะเน้นไปที่การผลิตละครให้ผู้ชมดูแล้วสนุก มีความสุข” สมรักษ์ กล่าวต่อ
สำหรับเรื่องที่ละครช่อง 3 จบเร็วขึ้น สมรักษ์ ให้คำตอบว่า เป็นเพราะช่อง 3 เพิ่มเวลาการออกอากาศเป็น 2 ชั่วโมง 30 นาที จากเดิมมีเวลาออกอากาศอยู่ที่ 2 ชั่วโมง 15 นาที และ 1 ชั่วโมง 50 นาที หรือเริ่มจากเวลาประมาณ 20.15–22.45 น. ซึ่งในส่วนของช่วงเวลาใหม่ 2 ชั่วโมง 30 นาที เริ่มตั้งแต่เดือน ก.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่ช่วงเวลา 2 ชั่วโมง 15 นาที เริ่มมาประมาณ 1 ปี
“หลังจากเพิ่มเวลาออกอากาศพบว่าคนดูเพิ่มขึ้น เพราะชอบที่เดินเรื่องเร็ว ซึ่งนอกจากจะมีเวลาไพรม์ไทม์ในช่วงของละครตอนกลางคืนแล้ว เรายังพยายามเพิ่มเวลาไพรม์ไทม์ละครในช่วงเวลาเย็น เริ่มตั้งแต่เวลา 17.3019.30 น. โดยประมาณ” สมรักษ์ กล่าว
จากเวลาของละครที่เพิ่มขึ้นทั้งในช่วงเย็น และช่วงกลางคืน ส่งผลให้ช่อง 3 ต้องเร่งเพิ่มทีมเขียนบท และทีมผู้จัด เพื่อผลิตละครให้ทันออกอากาศในแต่ละวัน ซึ่งจากแนวทางการดำเนินธุรกิจดังกล่าว ส่งผลให้ในแต่ละปีจะมีการผลิตละครเพิ่มขึ้นประมาณ 3 เรื่อง และในปีนี้ก็เช่นกันจากเดิมมีละครผลิตต่อปีอยู่ที่ประมาณ 40 เรื่อง
การออกมาปรับแผนเชิงรุกทั้งรายการข่าว รายการบันเทิง และละครของช่อง 3 ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ส่งผลให้ช่อง 3 มีเรตติ้งที่ขยับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คงเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ความสำเร็จได้ว่าช่อง 3 เดินมาถูกทาง แต่จะราบรื่นต่อไปหรือไม่คงต้องขึ้นอยู่กับแนวคิดว่าจะผลิตรายการ และละครได้โดนใจผู้ชมแค่ไหน เพราะปัจจุบันผู้ชมมีความนิยมที่เปลี่ยนแปลงเร็วเหลือเกิน


