posttoday

แผนใช้ยางสต๊อกรัฐยอมเจ๊ง เพื่อเดินต่อ

11 ตุลาคม 2556

นโยบายการนำยางพาราในสต๊อกรัฐบาลจำนวน 2.2 แสนตัน ที่รับซื้อจากเกษตรกรภายใต้งบประมาณกว่า 2.2 หมื่นล้านบาท

โดย...สิทธินี ห่วงนาค

นโยบายการนำยางพาราในสต๊อกรัฐบาลจำนวน 2.2 แสนตัน ที่รับซื้อจากเกษตรกรภายใต้งบประมาณกว่า 2.2 หมื่นล้านบาท มาแปรรูปเป็นวัตถุดิบในประเทศ กลายเป็นโครงการที่สังคมกำลังจับตา

สิ่งที่หลายๆ คนมองคือ นอกจากจะเป็นโครงการขายผ้าเอาหน้ารอดของรัฐแล้ว โครงการนี้จะสามารถช่วยผลักดันให้เกิดการใช้ยางพาราในประเทศเพิ่มขึ้นอีก 30% ตามแผนที่วางไว้ได้หรือไม่

เรื่องนี้ ยุคล ลิ้มแหลมทอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ได้สั่งการให้สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) และองค์การสวนยาง (อ.ส.ย.) ไปรวบรวมความต้องการใช้ยางพาราในโครงการต่างๆ ของแต่ละกระทรวงที่ประสงค์จะใช้ยางพาราเป็นวัตถุดิบ ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่ต้องการนำยางพาราในสต๊อกของโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางพารามาใช้ เพื่อลดปริมาณผลผลิตในตลาดโลก ซึ่งจะส่งผลต่อราคายางพาราในอนาคตให้ดีขึ้น

“การใช้ยางพาราในสต๊อกของรัฐเป็นมาตรการที่จะลดสต๊อกยางในประเทศโดยตรง เป็นการส่งสัญญาณในตลาดโลกว่าไม่มีสต๊อกนี้อยู่แล้ว ใครที่รอช้อนซื้อก็จะได้ไม่ต้องรอ ต้องวิ่งไปหาของใหม่ ซึ่งผลจากโครงการใช้ยางในสต๊อกครั้งนี้ ยังจะนำไปสู่เป้าหมายสำคัญของยุทธศาสตร์การใช้ยางพาราในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างน้อยอีก 30%” ยุคล กล่าว

เบื้องต้น มีบางหน่วยงานแจ้งว่าต้องการเอาไปทำถนน ทั้งในส่วนของกรมทางหลวง กองทัพ และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และการใช้ทำพื้นสนามกีฬา เป็นต้น

ชนะชัย เปล่งศิริวัธน์ ผู้อำนวยการองค์การสวนยาง กล่าวว่า โครงการใช้ยางพาราในสต๊อกของรัฐ ในที่ประชุมคณะกรรมการองค์การสวนยาง ได้มีมติให้ อ.ส.ย.ไปทำระเบียบการบริหารสต๊อก การซื้อขายยาง การบริจาค มาเสนอคณะกรรมการบริหารโครงการรักษาเสถียรภาพราคายาง ในฐานะ อ.ส.ย.รับผิดชอบบริหารสต๊อกตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เนื่องจากที่ผ่านมา มติ ครม.ระบุว่าให้ อ.ส.ย.มีหน้าที่ขายยางในราคาที่เหมาะสม และคณะกรรมการ บริหารฯ มีมติไว้ตั้งแต่แรกว่า ห้าม อ.ส.ย.ขายยางในราคาขาดทุน เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่ต้องทำคือไปทำระเบียบการขายยางให้ครอบคลุมทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อยู่ระหว่างรอให้แต่ละกระทรวงส่งรายละเอียดโครงการเข้ามา เบื้องต้นมีแต่การพูด ยังไม่มีการลงรายละเอียด เพราะหน่วยงานก็ยังไม่มีแบบโครงการว่าเมื่อต้องเปลี่ยนสเปก ต้องใช้ยางในสัดส่วนเท่าไหร่

“จำเป็นที่ต้องเขียนระเบียบใหม่เพื่อให้ครอบคลุมการขายยางขาดทุน เพราะขณะนี้คงไม่มีทางขายยางได้ในราคาสูงกว่า 104 บาทต่อกิโลกรัม ตามที่รัฐบาลรับซื้อไว้ เพราะการซื้อยางระหว่างหน่วยงานก็ต้องใช้ราคาตลาด ซึ่งเท่ากับมีแต่ขาดทุน นอกจากนั้น บางโครงการอาจต้องให้ลักษณะการบริจาคอย่างกรณีโรงเรียนเด็กเล็ก หรือโรงเรียนขนาดเล็กที่ไม่มีงบประมาณ” ชนะชัย กล่าว

สำหรับผลการศึกษาของกรมทางหลวงที่จะใช้ยางพาราทำถนนนั้น หากได้ผลจริงกระทรวงคมนาคม ควรเสนอรัฐบาลกำหนดเป็นมาตรฐานทางหลวงประเทศ ซึ่งจะเป็นผลให้มีการแย่งกันใช้ยางเพิ่มขึ้น เพราะหากเทียบเคียงมาตรฐานที่ทางหลวง ระบุว่า ระยะทาง 1 กิโลเมตรใช้ยางพารา 4 ตัน ก็ทำให้เกิดการใช้ยางเพิ่มขึ้น

อีกทางหนึ่งคือ อ.ส.ย.อยู่ระหว่างการเจรจากับบริษัทผู้ผลิตล้อยาง เพื่อนำยางไปผลิตเป็นล้อยางสำหรับใช้ในประเทศในมาตรฐานรองจากมิชลินหรือบริดจสโตน ซึ่งในประเทศต้องการใช้มาก

ขณะที่ อุทัย สอนหลักทรัพย์ สมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศ.) ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านยางพารา มองว่า การใช้ยางพาราในโครงการของรัฐเป็นเรื่องที่ดี เพราะเมื่อมีสต๊อกโอกาสที่ราคายางจะขึ้นเป็นเรื่องยาก การใช้สต๊อกให้หมดก็จะเป็นการใช้ยางในประเทศเพิ่ม นอกจากนั้นควรเสนอ รมว.เกษตรฯ ให้สนับสนุนการแปรรูปยางเป็นพื้นคอกปศุสัตว์ที่ต่างประเทศต้องการมาก แต่ประเทศไทยยังไม่มีใครทำจึงเห็นว่าน่าจะให้เอกชนเข้ามาใช้เงินกู้จากงบ 1.5 หมื่นล้านบาท ที่คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) อนุมัติไว้

หวังว่าโครงการนี้จะช่วยเพิ่มปริมาณการใช้และกระตุ้นราคายางให้สูงขึ้น โดยที่ไม่บิดเบือนกลไกตลาดด้วยการนำงบประมาณไปช่วยอุ้มราคาเหมือนที่ผ่านมา เพราะราคายางทุก 1 บาทต่อกิโลกรัมที่ขึ้นหรือลง เท่ากับเงิน 3 หมื่นล้านบาทที่เข้าประเทศและรัฐทิ้งไป

ข่าวล่าสุด

ผลบอล โยเคเรสซัดโทษ! อาร์เซน่อล1-0 เอฟเวอร์ตัน,ลิเวอร์พูล 2-1