พณ.ย้ำต้องดูแลชาวนาเพราะเสี่ยงกว่าอาชีพอื่น

กรมการค้าภายใน ระบุ รัฐจำเป็นต้องดูแลผู้ปลูกข้าวเพราะเสี่ยงกว่าพืชชนิดอื่น ด้านชาวนาวอนอย่าเปรียบเทียบ เพราะคุณภาพชีวิตปัจจุบันพออยู่รอดเท่านั้น

น.ส.วิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า การที่รัฐบาลมีความจำเป็นต้องดูแลเกษตรกรชาวนา เนื่องจากเกษตรกรส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาการผลิตด้วยตนเอง และยังเป็นพืชที่มีความเสี่ยงต่อความเสียหายมากกว่ายางพารา เช่น ประสบภัยธรรมชาติ ศัตรูพืช ฯลฯ ขณะนี้สินค้าเกษตรอื่น เช่น ยางพารา มีหน่วยงาน/องค์กรที่มาดูแลเป็นเฉพาะยาวนานแล้ว ได้แก่ สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง องค์การสวนยาง และสถาบันวิจัยยาง ซึ่งหากดูภาพรวมอาจจะเห็นว่าโครงการรับจำนำข้าว ได้วงเงินช่วยเหลือเกษตรกรที่สูง แต่เมื่อคำนวณจากจำนวนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่มีกว่า 3 ล้านครัวเรือนแล้ว เฉลี่ยเงินช่วยเหลือแต่ละครัวเรือนก็ไม่ได้สูงมาก

ด้านนายประสิทธิ์ บุญเฉย นายกสมาคมชาวนาข้าวไทย กล่าวว่า ไม่อยากให้เปรียบเทียบมาตรการช่วยเหลือชาวนาผู้ปลูกข้าวกับชาวสวนยางพารา เพราะชาวนาเองก็เห็นใจชาวสวนยาง ไม่อยากให้เกิดความขัดแย้ง เนื่องจากเป็นประชาชนที่อยู่ในภาคเกษตรเช่นเดียวกัน เมื่อเดือดร้อนก็ต้องขอให้รัฐเข้ามาดูแลแก้ปัญหา

อย่างไรก็ตาม แม้ที่ผ่านมาชาวนาจะได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาลด้วยงบประมาณค่อนข้างมาก แต่เป็นเพราะชาวนามีจำนวน 3.7 ล้านครัวเรือน ซึ่งมากกว่าเกษตรกรกลุ่มอื่นๆ และมีต้นทุนการผลิตสูงกว่าพืชชนิดอื่น ขณะที่รายได้ต่ำกว่าเกษตรกรกลุ่มอื่นๆ เห็นได้จากที่ชาวนาส่วนใหญ่ยังคงมีหนี้สินเป็นจำนวนมาก สะท้อนว่าคุณภาพชีวิตชาวนาไม่ได้ดีไปกว่าเกษตรกรกลุ่มอื่นๆ จึงจำเป็นที่รัฐต้องเข้ามาดูแลผ่านโครงการรับจำนำเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตชาวนาไทย

ด้านนายวิเชียร พวงลำเจียก นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย กล่าวถึงหลักเกณฑ์การรับจำนำข้าวในฤดูกาลใหม่ว่า  การลดกรอบเพดานราคารับจำนำนาปรังเหลือ 13,000 บาทต่อตัน ไม่เกินรายละ 3 แสนบาท จะมีผลกระทบกับการดำรงชีพของชาวนาทั่วประเทศ จึงขอให้ภาครัฐทบทวนเพดานใหม่ ขอเป็น 14,000 บาทต่อตัน ในวงเงินไม่เกิน 4 แสนบาทต่อครัวเรือน หากไม่มีการตอบรับภายในวันที่ 1 ตุลาคม จะหารือกับสมาคมเพื่อกำหนดแนวทางเรียกร้องหรือเคลื่อนไหว