การรักษาความลับของทนายความ
ปัจจุบันมีทนายความหลายท่านโดยเฉพาะทนายความคดีสำคัญๆ มีการเปิดเผยความลับในสำนวนคดีให้สื่อมวลชนหรือบุคคลภายนอกทราบ ทำให้ลูกความมีความเคลือบแคลงสงสัยว่าจะไว้วางใจทนายความได้หรือไม่ ทนายคลายทุกข์จึงขอนำเสนอ มรรยาททนายความและวิธีปฏิบัติตนของทนายความต่อตัวความ ดังนี้
ปัจจุบันมีทนายความหลายท่านโดยเฉพาะทนายความคดีสำคัญๆ มีการเปิดเผยความลับในสำนวนคดีให้สื่อมวลชนหรือบุคคลภายนอกทราบ ทำให้ลูกความมีความเคลือบแคลงสงสัยว่าจะไว้วางใจทนายความได้หรือไม่ ทนายคลายทุกข์จึงขอนำเสนอ มรรยาททนายความและวิธีปฏิบัติตนของทนายความต่อตัวความ ดังนี้
ทนายความที่ดี หมายถึง ต้องเป็นทนายความทั้งเก่งและดี มีคุณธรรม คุณสมบัติ การศึกษาดี มีความรู้เกี่ยวกับตัวบทกฎหมายเป็นอย่างดี รวมทั้งติดตามคำพิพากษาศาลฎีกาจากสำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ และเนติบัณฑิตยสภาตลอดเวลา เพราะคำตัดสินของศาลฎีกาถือว่าเป็นแนวทางการพิพากษาคดีของศาลทุกศาล ที่ควรถือปฏิบัติตาม ดังนั้น ทนายความที่รอบคอบในการให้คำปรึกษาทางด้านกฎหมาย ควรให้ความเห็นทางด้านกฎหมายโดยอ้างอิงตัวบทกฎหมาย และคำพิพากษาศาลฎีกาประกอบ ถ้าลูกความคนไหนได้คำปรึกษาของทนายความของตนเองที่อธิบายทั้งตัวบทและฎีกา โอกาสแพ้คดีก็มีน้อย
การเตรียมคดีเพื่อฟ้องศาล หรือร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนในคดีอาญา นอกจากฟังข้อเท็จจริงที่ลูกความเล่าให้ฟังแล้ว จะต้องชั่งน้ำหนักว่าสมเหตุสมผลหรือไม่ ขัดต่อหลักธรรมชาติหรือไม่ และมีพยานหลักฐานสนับสนุนหรือไม่ การกล่าวอ้างว่าผู้ใดทำผิดกฎหมายอาญาเป็นเรื่องง่าย ใครก็กล่าวหาได้ ถ้าจะเอาตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยติดคุกจะต้องมีพยานหลักฐานแน่นหนาสนับสนุนข้อกล่าวอ้างของตนเอง จนปราศจากข้อสงสัย จึงจะเอาผิดผู้ต้องหาหรือจำเลยได้ ดังนั้น ทนายความที่ดีจะต้องสอบถามลูกความว่ามีพยานหลักฐานสนับสนุนข้อกล่าวอ้างหรือไม่ รวมทั้งให้คำชี้แนะให้ลูกความไปหาพยานหลักฐานประกอบหรือเข้าไปร่วมช่วยหาพยานหลักฐานให้เพียงพอตามที่กฎหมายกำหนด ตามมาตรฐานขั้นต่ำในการพิสูจน์ความผิดจำเลย ไม่ควรรีบไปแจ้งความหรือฟ้องคดีโดยที่ยังไม่มีพยานหลักฐาน เพราะหากไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอ ฟ้องไปก็แพ้คดี เสียค่าใช้จ่าย เสียเวลา เสียความรู้สึก
การซักซ้อมพยานก่อนไปสถานีตำรวจหรือศาล เป็นหน้าที่สำคัญของทนายความ จะต้องมีการซักซ้อมพยานอย่างต่อเนื่อง ยิ่งซ้อมหลายครั้งยิ่งดี เพราะจะทำให้พยานมีความคุ้นเคยกับการเป็นพยานในชั้นศาลและทันเล่ห์เหลี่ยมของทนายความฝ่ายตรงข้าม ถ้าไม่มีการซักซ้อมพยาน โอกาสหลงลืมหรือจำไม่ได้หรือพูดผิดพูดถูกมีโอกาสเกิดขึ้นได้ ถ้าเป็นสาระสำคัญก็จะมีผลต่อคำพิพากษาของศาล อาจทำให้แพ้คดีได้
การรักษาความลับของตัวความ มีทนายความหลายคนเอาเรื่องส่วนตัวของลูกความ เนื้อหาคดี คำให้การของพยานในชั้นศาล มาให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์หรือทีวี ในคดีสำคัญๆ โดยหลักการแล้วถือว่าเป็นการไม่ถูกต้อง ยกเว้นได้รับความยินยอมหรืออนุญาตโดยชัดแจ้งจากตัวความ แต่ส่วนตัวผมเห็นว่า ไม่ควรนำเรื่องของตัวความมาเผยแพร่ทางสื่อมวลชน เพราะไม่ได้เป็นผลดีอะไรกับตัวความ ในทางกลับกันยิ่งทำให้ตัวความได้รับความเสียหายและบอบช้ำมากยิ่งขึ้น ถึงแม้ตัวทนายจะถอนตัวจากการเป็นทนายแล้ว ก็ไม่มีสิทธินำเรื่องของตัวความมาเผยแพร่ต่อสื่อมวลชน ยกเว้นได้รับความยินยอม หากใครนำเรื่องราวของตัวความมาเผยแพร่อาจถูกร้องเรียนมรรยาททนายความได้
ข้อบังคับว่าด้วยมรรยาททนายความและการกล่าวหาทนายความว่าประพฤติผิดมรรยาท ตาม พ.ร.บ.ทนายความ พ.ศ. 2525
มาตรา 51 ทนายความต้องประพฤติตนตามข้อบังคับว่าด้วยมรรยาททนายความ การกำหนดมรรยาททนายความให้สภาทนายความตราเป็นข้อบังคับ
ทนายความผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับที่สภาทนายความตราขึ้นตามวรรคหนึ่ง ให้ถือว่าทนายความผู้นั้นประพฤติผิดมรรยาททนายความ
มาตรา 52 โทษผิดมรรยาททนายความมี 3 สถาน คือ
(1) ภาคทัณฑ์
(2) ห้ามทำการเป็นทนายความมีกำหนดไม่เกินสามปี หรือ
(3) ลบชื่อออกจากทะเบียนทนายความ
ในกรณีประพฤติผิดมรรยาททนายความเล็กน้อยและเป็นความผิดครั้งแรก ถ้าผู้มีอำนาจสั่งลงโทษตามมาตรา 66 มาตรา 67 หรือมาตรา 68 แล้วแต่กรณี เห็นว่ามีเหตุอันควรงดโทษ จะงดโทษให้โดยว่ากล่าวตักเตือน หรือให้ทำทัณฑ์บนเป็นหนังสือไว้ก่อนก็ได้


