กสิกรเล็งดันรูดปรื๊ด2.8แสนล.เพิ่มร้านติดเครื่อง5หมื่นแห่ง

กสิกรไทย เพิ่มร้านค้ารับบัตรเครดิตในปีนี้ 5 หมื่นแห่ง ดันยอดใช้จ่ายแตะ 2.8 แสนล้านบาท

นายชาติชาย พยุหนาวีชัย รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ภายในสิ้นปีนี้ธนาคารได้ตั้งเป้าหมายเพิ่มร้านค้ารายย่อยที่รับชำระเงินผ่านบัตรเครดิตของธนาคารเอาไว้ไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นร้านค้า ต่อยอดจากฐานสมาชิกร้านค้ารับบัตรในปัจจุบันที่มีอยู่ราว 1.1 แสนร้านค้าทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มช่องทางและกระตุ้นยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของธนาคารให้เป็นไปตามเป้าหมายทั้งปีที่ 2.8 แสนล้านบาท หลังจากที่ในช่วงครึ่งปีแรกธนาคารยังมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรต่ำกว่าเป้าประมาณ 1 หมื่นล้านบาท

“หากดูได้จากยอดใช้จ่ายผ่านบัตรทั้งระบบที่มีมากกว่า 1 ล้านล้านบาท เทียบกับฐานสินเชื่อคงค้างของธุรกิจบัตรเครดิตทั้งระบบที่ 2.6 แสนล้านบาท เท่ากับคนที่เป็นหนี้ค้างชำระมีเพียง 2% สะท้อนให้เห็นว่ายังมีโอกาสในการเติบโตได้อีกมาก และหากมีการเพิ่มช่องทางไปด้วยก็จะช่วยเพิ่มการใช้จ่ายผ่านบัตรแทนเงินสดได้มากขึ้น” นายชาติชาย กล่าว

นายชาติชาย กล่าวว่า กลยุทธ์การเพิ่มฐานร้านค้ารับบัตรของธนาคารในปีนี้ นอกจากการเพิ่มจำนวนเครื่องรูดบัตรแบบปกติ (อีดีซี) จากปัจจุบันที่มีอยู่ 4.3 แสนเครื่อง ธนาคารจะนำเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า mPOS ที่จะช่วยให้ร้านค้าสามารถเปลี่ยนสมาร์ทโฟนเป็นจุดชำระเงินด้วยบัตรเครดิตได้เข้ามาใช้ทำตลาดในกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีรายย่อย เช่น ร้านค้าในตลาดจตุจักร ศูนย์การค้าเอเชียทีค แพลตินัม มอลล์ และร้านค้าขนาดเล็กตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ เทคโนโลยี MPOS จะตอบโจทย์กลุ่มร้านค้ารายย่อยในด้านการจัดการเงินสดและเพิ่มยอดขายให้กับร้านค้าผ่านการใช้บัตรเครดิต ร้านค้าสมาชิกจะเสียค่าใช้จ่ายเป็นค่าเช่าอุปกรณ์เพียง 2,000 บาทครั้งเดียว ไม่ต้องเสียค่าเช่าเป็นรายเดือนเหมือนเครื่องอีดีซี ซึ่งในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา เรามีจำนวนร้านค้าที่รับบัตรด้วยเครื่อง mPOS แล้วกว่า 2,000 แห่งและมียอดใช้จ่ายกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งธนาคารมีเพิ่มจะเพิ่มร้านค้าในกลุ่มนี้อย่างต่อเนื่อง " นายชาติชาย กล่าว

ทั้งนี้ สำหรับผลการดำเนินงานธุรกิจบัตรเครดิตของธนาคารในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ธนาคารมีจำนวนฐานบัตรทั้งสิ้น 3 ล้านบัตร คิดเป็นการเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 25 % และมียอดใช้จ่ายผ่านบัตร 1.12 แสนล้านบาท เติบโตขึ้น 28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมียอดสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 5.4 หมื่นล้านบาท