posttoday

ไอเจเอ็มยักษ์ใหญ่ก่อสร้างมาเลเซีย

04 กรกฎาคม 2556

ธุรกิจก่อสร้างเป็นธุรกิจที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง เพราะจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยจากการที่ประเทศไทยกำลังจะถูกพลิกโฉมด้านโครงสร้างพื้นฐานจากการลงทุน 2 ล้านล้านบาท เพื่อรองรับการเชื่อมต่อระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านตามแผนการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี พ.ศ. 2558

ธุรกิจก่อสร้างเป็นธุรกิจที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง เพราะจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยจากการที่ประเทศไทยกำลังจะถูกพลิกโฉมด้านโครงสร้างพื้นฐานจากการลงทุน 2 ล้านล้านบาท เพื่อรองรับการเชื่อมต่อระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านตามแผนการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี พ.ศ. 2558

หากกล่าวถึงบริษัทก่อสร้างในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนของไทยแล้ว บริษัท ไอเจเอ็ม (IJM Corporation Berhad) จากประเทศมาเลเซียนับเป็นหนึ่งในผู้นำตลาด โดยมีรายได้ในปี พ.ศ. 2555 สูงเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มประเทศอาเซียน รองจากบริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ ของไทย

บริษัท ไอเจเอ็ม มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะในช่วงสามปีที่ผ่านมามีการเติบโตของกำไรจากการดำเนินงานมากกว่า 17% ต่อปี ทั้งนี้ เป็นผลมาจากกลยุทธ์ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของธุรกิจหลัก การต่อยอดการลงทุนไปยังธุรกิจต่อเนื่อง และการเลือกลงทุนไปยังตลาดใหม่ๆ ที่กำลังเติบโต เช่น อินโดนีเซีย จีน และอินเดีย

จุดเด่นและข้อได้เปรียบทางธุรกิจที่สำคัญของไอเจเอ็ม ได้แก่ การมุ่งเน้นโครงการก่อสร้างที่บริษัทมีความชำนาญเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนและต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น สนามบิน ระบบขนส่งมวลชน ทางด่วน และโรงไฟฟ้า

นอกจากนี้ บริษัทยังมีการรุกเข้าไปในธุรกิจหลักอีก 4 ด้าน คือ การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ อุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง สัมปทานโครงสร้างพื้นฐาน และการเพาะปลูก เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพารายได้จากธุรกิจเพียงด้านใดด้านหนึ่ง และเพื่อสร้างประโยชน์จากการต่อยอดและขยายช่องทางทางธุรกิจ (Synergistic Benefits) จากธุรกิจก่อสร้างไปสู่ธุรกิจอื่นๆ ที่ต่อเนื่องกัน เช่น ธุรกิจวัสดุก่อสร้างและธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น

บริษัทสร้างฐานรายได้ที่ต่อเนื่อง (Recurring Income) โดยการขยายธุรกิจเข้าไปรับสัมปทานในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ภายในประเทศของรัฐบาล ซึ่งบริษัทมีทั้งความชำนาญในการก่อสร้างและมีสินทรัพย์เพียงพอสำหรับการประมูลโครงการขนาดใหญ่เหล่านี้ เช่น สัมปทานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสุไหงบูโลห์กะจัง (Sungai BulohKajang MRT Line) ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าสายแรกของประเทศมาเลเซีย

บริษัท ไอเจเอ็ม ได้ใช้นโยบายควบรวมและเข้าซื้อกิจการ (Mergers and Acquisitions : M&A) ในการขยายธุรกิจ โดยบริษัทได้ก่อตั้งขึ้นจากการรวมตัวของบริษัทก่อสร้างขนาดกลางในประเทศมาเลเซียจำนวน 3 บริษัท เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับบริษัทก่อสร้างขนาดใหญ่จากทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ทั้งในด้านของเงินทุนหมุนเวียนที่เพิ่มมากขึ้นและรูปแบบของการให้บริการที่มีคุณภาพดีขึ้นและครบวงจร ตั้งแต่การออกแบบไปจนถึงการก่อสร้างและซ่อมแซม นอกจากนี้ บริษัท ไอเจเอ็ม ยังได้เข้าซื้อกิจการของบริษัท โรดบิวเดอร์ กรุ๊ป (Road Builder Group) ในปี พ.ศ. 2550 ซึ่งเป็นบริษัทก่อสร้างคู่แข่งหลักในเวลานั้น ส่งผลให้บริษัท ไอเจเอ็ม ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในบริษัทก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในประเทศมาเลเซีย

บริษัท ไอเจเอ็ม ยังประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ โดยใช้จุดแข็งของความสามารถที่ครบวงจรเข้าไปทำสัมปทานโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐาน ในรูปแบบที่ให้บริการออกแบบ ก่อสร้าง และบริหารจัดการ (BuildOperateTransfer) โดยเน้นประเทศกำลังพัฒนาที่มีแนวโน้มการขยายตัวของภาคก่อสร้างอยู่ในเกณฑ์ดี และให้การสนับสนุนการลงทุนจากต่างชาติ เช่น ประเทศอินเดีย ที่บริษัทได้สร้างทางด่วนพิเศษถึง5 สายด้วยกัน

แม้ว่าบริษัท ไอเจเอ็ม จะเป็นบริษัทที่มีศักยภาพสูง และกำลังรุกออกไปยังตลาดในเอเชีย ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (EIC) ประเมินว่า โอกาสที่บริษัท ไอเจเอ็ม จะเข้ามาแข่งขันในโครงการลงทุน 2 ล้านล้านบาท หรือโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานอื่นๆ ในประเทศไทยนั้นยังมีน้อย เพราะธุรกิจก่อสร้างในไทยมีคู่แข่งรายใหญ่ที่มีความสามารถทัดเทียมกับบริษัท ไอเจเอ็ม อยู่หลายราย และคงไม่ง่ายนักที่จะเข้ามาแข่งขันในตลาดที่ความสัมพันธ์และประสบการณ์ทำงานในพื้นที่มีความสำคัญ

อย่างไรก็ดี บริษัท ไอเจเอ็ม นับว่าเป็นคู่แข่งที่ไม่ควรมองข้ามหากบริษัทก่อสร้างของไทยจะรุกเข้าไปยังตลาดใหม่ๆ ในต่างประเทศ ในยุคของการเปิดเออีซี

ข่าวล่าสุด

เส้นทาง “เถ้าแก่ส้ม” ร้อยล้าน ปั้นโชกุนเบตง–สายน้ำผึ้งฝางดังทั่วประเทศ