อะไรล่ะ คือ ความมั่งคั่งที่แท้จริง
โดย...ภาววิทย์ กลิ่นประทุม ที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน)
โดย...ภาววิทย์ กลิ่นประทุม ที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน)
“วันนี้ทุกคนพยายามมุ่งไปที่การหาเงินให้ได้มากที่สุด แน่นอนถ้าวันนี้เราเดินไปหาคนรุ่นใหม่สักคน ผมเชื่อแน่ว่าเป้าหมายของคนรุ่นใหม่เหล่านี้ น่าจะหนีไม่พ้นอยากรวย!!”
ไม่แปลกอยู่แล้วที่ปัจจุบันเป้าหมายชีวิตของคนส่วนใหญ่ก็ต้องอยากรวย เพราะเงินมันกลายเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง เรียกได้ว่า เงินมาผ้าหลุด เฮ้ย!! ผิดประเด็น ผิดประเด็น สิ่งที่ผมอยากจะชี้คือ วันนี้สังคมเราแบ่งของเป็น Layer หรือพูดง่ายๆ ว่า ชนชั้นมันเริ่มมีการแบ่งกันชัดเจนขึ้น
การแบ่งชนชั้นเดี๋ยวนี้ใช้ “ตัวเงิน” เป็นหลักๆ ในการแบ่ง เช่น การกินข้าว เราสามารถจะกินได้ตั้งแต่ 20 บาทต่อมื้อ ไปจนเป็นหมื่นเป็นแสนบาทต่อมื้อกันเลยทีเดียว ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลหลายๆ คนก็ให้ความเห็นว่า กินเท่าไหร่ก็ขี้ออกมาเหมือนกัน ฮ่า ฮ่าก็ว่ากันไป–ด้วยเหตุที่กล่าวมา ทำให้คนรุ่นใหม่หลายๆ คนพยายามที่จะหาเงินให้ได้มากที่สุด เพื่อที่เขาจะได้สามารถใช้ได้มากๆ และดูดี กลายเป็นชนชั้นสูงของสังคม–“คำถาม คือ อะไรคือประเด็นของสิ่งที่กล่าวมา”
จริงๆ แล้วการตั้งโจทย์ของคนรุ่นใหม่ในการที่จะรวยให้เร็วที่สุดเป็นเรื่องที่อันตรายมาก และคุณรู้ไหมว่าด้วยความต้องการรวยเร็วนี้เอง ที่ดึงให้คนรุ่นใหม่เข้ามาติดกับดักมากที่สุด ผมขอแบ่งเรื่องนี้ออกเป็นสองประเด็น ประเด็นแรก คือ เรื่องของ “การหา” ผมแทบไม่เคยเห็นคนที่ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ หากเขาตั้งโจทย์ที่เงินเป็นจุดเริ่มต้น คิดง่ายๆ คนที่ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ มันเกิดจากเขาพยายามตอบโจทย์ความต้องการของตลาดที่เดิมทีไม่มีใครตอบได้ เช่น กรณีของ Facebook ก็เป็นการตอบโจทย์ของการติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคลที่ให้อำนาจคนทั่วไปและลดอำนาจสื่อ ซึ่งผลต่อสังคมของ Facebook หรือ Social Media ก็คือการเพิ่มพลังให้กับคนตัวเล็กๆ ให้มีสิทธิมีเสียง ซึ่งทั้งหมดเอาตัวผู้บริโภคเองมาตัดสินว่า คนส่วนใหญ่จะบริโภคข้อมูลข่าวสารอะไร ซึ่งต่างจาก “สื่อ” ในยุคก่อนที่ตัวของสื่อเองเป็นผู้กำหนดว่าจะเอาอะไรมานำเสนอ
ดังนั้นประเด็นนี้จะเห็นได้ว่า Facebook ได้เปลี่ยนแปลงและให้ประโยชน์ต่อผู้บริโภค นี่คือข้อดี แต่ข้อเสียคือ วันนี้ Facebook ประสบปัญหาในเรื่องของการ “หารายได้” เพราะไม่รู้ว่าจะหารายได้อย่างไร ดังนั้นสรุปง่ายๆ ในประเด็นของ “การหารายได้” ในเบื้องต้น ก็คือ การ “ไม่หา” (จริงดิเดี๋ยวนี้อยากรวย ต้องห้ามเอาเงินเป็นตัวตั้ง แต่เอาเป้าหมายที่การสร้างประโยชน์ให้กับคนอื่นเป็นที่ตั้งต่างหากล่ะ) แต่มุ่งที่ประโยชน์ที่เราสามารถสร้างให้กับลูกค้า หรือตลาดที่เราต้องการสร้าง และเมื่อสินค้าและบริการเป็นที่ยอมรับ สุดท้ายคุณเชื่อหรือไม่ว่า เงินทองและชื่อเสียงจะวิ่งตามมาเอง คนรวยในอนาคต ก็คือ “นักแก้ปัญหา” เป็นการบอกโดยนัยว่า หากวันนี้คุณกำลังมีปัญหาชีวิตหรือปัญหาอะไรก็ตาม มันแสดงว่าคุณได้เดินมาสู่ต้นตอแห่งโอกาสและความร่ำรวยมาก “จริงๆ” แก้ปัญหาตัวเองได้จะเริ่มมีสติและพอแก้ปัญหาคนอื่นได้ เราจะเริ่มร่ำรวย แปลกแต่จริงนะ ลองคิดดีๆ”
ประเด็นที่สอง “การใช้” เรื่องของการใช้เป็นอีกเรื่องของความมั่งคั่ง เราเห็นคนบางคนมุ่งทำงานหาเงินโดยที่ไม่เคยวางแผนเลยว่าจะหามาเพื่ออะไร ผมมีเพื่อนคนจีนคนหนึ่ง เขาเล่าว่า ตั้งแต่เด็กเขาเห็นพ่อแม่ทำงานหนักมากๆ เพื่อเก็บเงิน พ่อและแม่ของเขาทำงานหนักอย่างมากมายและท่านทั้งสองก็ประหยัดอย่างมาก ทำให้ในที่สุดเขามีเงินเก็บเข้าขั้นเศรษฐี และแล้วโรคมะเร็งก็มาถามหา ทั้งคู่!! เพื่อนของผมได้อธิบาย Pattern ชีวิตของพ่อแม่ของเขาได้อย่างชัดเจนมาก คือ หนึ่ง ทำงานอย่างหนัก สอง เก็บเงิน ห้ามใช้ และสาม เป็นมะเร็งรอความตาย เพื่อส่งต่อเงินนั้นให้ลูก (ตรูนี่อยากเป็นลูกพวกเขาจริงๆ จะได้เอาไปซื้อ Ferrari สัก 10 คัน ฮ่า ฮ่า)
เอาล่ะ “คุณว่าลูกจะเอาเงินนี้ไปทำอะไร”–สิ่งที่ผมต้องการจะชี้ คือ “ความสมดุล” เพราะโลกเราวันนี้มันแบ่งคนเป็น 2 ประเภทเท่านั้น คือ หนึ่ง คนที่มีเงินมากเกินไป และสอง คนที่มีเงินน้อยเกินไป
คิดดีๆ นะ ไอ้คนที่มันมีเงินมากเกินไป “ยกตัวอย่าง เพื่อนผมที่เล่ามานั่นแหละ” ไอ้ที่เพื่อนผมมันมีเงินมากเกินไป ก็เพราะพ่อแม่ของมันทำงานเพื่อเป็นมะเร็งและตาย ผมเลยถามเพื่อนไปว่า ตกลง “มรึงมีความสุข ไหมนี่กับเงินที่พ่อแม่ทิ้งเอาไว้ให้”
มันตอบผมว่า “เงินที่มีก็ดีอ่ะนะ แต่สิ่งที่รู้สึก คือ รู้สึกปลงมากกว่า” ดังนั้นไม่แปลกหรอกที่วันนี้สังคมเราจะมีความซับซ้อนขึ้น เพราะความเชื่อมโยงความเชื่อระหว่างรุ่นสู่รุ่นมันมีบทเรียนที่แต่ละ Generation ได้เรียนรู้ในมุมที่แตกต่างกัน ถ้าถามผม เงินไม่ได้ให้ความสุขแต่เงินให้เพียงความสบาย การหาสมดุลและเข้าใจนิยามของเงินจะทำให้เราหาและใช้เงินอย่างฉลาดขึ้น


