posttoday

จรัญประกันไม่ควบรวมฮือฮา‘ขาใหญ่ไล่ซื้อหุ้น’

25 มิถุนายน 2556

จรัญประกันภัยลั่นไม่ควบรวม ส่วนผู้ถือหุ้นแกร่งคุมเข้มความเสี่ยงไม่แข่งราคา

จรัญประกันภัยลั่นไม่ควบรวม ส่วนผู้ถือหุ้นแกร่งคุมเข้มความเสี่ยงไม่แข่งราคา

นายสุกิจ จรัญวาศน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท จรัญประกันภัย (CHARAN) เปิดเผยว่า บริษัทไม่มีความจำเป็นต้องควบรวมกิจการ แม้ว่าจะมีทุนจดทะเบียนเพียง 60 ล้านบาท แต่มีส่วนของผู้ถือหุ้นสูงถึง 587.20 ล้านบาท และมีอัตราส่วนเงินกองทุนมากกว่า 400% ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กำหนดไว้แค่ 140% โดยยังคงเน้นการควบคุมความเสี่ยงในการทำธุรกิจและไม่ลงไปแข่งขันด้านราคากับตลาด

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รายงานว่า เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.ที่ผ่านมา นายวิเชียร ศรีมุนินทร์นิมิต ได้เข้าซื้อหุ้น CHARAN เพิ่ม คิดเป็น 1.6683% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ทำให้ถือหุ้นเพิ่มเป็น 6.6666%

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 27 พ.ค.ที่ผ่านมา นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล ได้เข้าซื้อหุ้น CHARAN เพิ่ม 1.356% จนถือหุ้นเป็น 5.271% อย่างไรก็ตามกลุ่มจรัญวาศน์ยังเป็ผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วนรวม 54% จากหุ้นทั้งหมด 6 ล้านหุ้น

สำหรับผลการดำเนินงานปี 2555 มีกำไรสุทธิ 30.16 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 5.03 บาท ส่วนไตรมาสแรกปีนี้ขาดทุนสุทธิ 6.89 ล้านบาทสำหรับ ปี 2556 บริษัทตั้งเป้าหมายเบี้ยประกันภัยรับเพิ่มขึ้น 25% จากปี 2555 ที่มีเบี้ยรับรวม 160.32 ล้านบาท โดยยังคงทำธุรกิจอย่างระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการแข่งขันทางด้านราคา ไม่ได้ทำตลาดประกันภัยรถยนต์คันแรก แต่เน้นการทำตลาดประกันภัยภาคบังคับเพิ่มขึ้น โดย 3 เดือนแรกมีเบี้ยประกันภัยรับ 65.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 77.41% จากงวดเดียวกันของปี 2555 แยกเป็นเบี้ยประกันภัยรถยนต์ 42.92 ล้านบาท เบี้ยประกันอัคคีภัย 13.62 ล้านบาท เบี้ยประกันภัยเบ็ดเตล็ด 4.77 ล้านบาท เบี้ยประกันภัยทางทะเลและขนส่ง 3.65 ล้านบาท ที่เหลือเป็นประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล

นายสุกิจ กล่าวว่า บริษัทมองเห็นความสำคัญของผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบต่างๆ ในธุรกิจ และการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นจากการเปิดเสรีธุรกิจประกันภัย แต่มีการประเมินความเพียงพอของเงินกองทุนตลอดและพยายามรักษาสัดส่วนเงินกองทุนให้สูงกว่าที่คปภ.กำหนด เน้นทำธุรกิจตามหลักบรรษัทภิบาล ลดขั้นตอนการทำงานให้มีสิทธิภาพ มุ่งขยายช่องทางการขาย

นอกจากนี้ ยังได้บริหารความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิศาสตร์ ด้วยการ คัดเลือกบุคคล ทรัพย์สิน ลักษณะกิจการ ความเสี่ยงของภัยที่จะรับประกันและมีการพิจารณาสภาพื้นที่ ที่อาจได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติประเภทต่างๆ โดยได้ทำประกันภัยต่อกับบริษัทต่างประเทศ ทั้งในรูปของสัญญาล่วงหน้า และยังได้ซื้อการคุ้มครองแบบความเสียหายส่วนเกิน การประกันภัยต่อแบบเฉพาะราย ซึ่งทำให้ความเสี่ยงจากการประกอบธุรกิจลดลง

ข่าวล่าสุด

ไทยเบฟคว้า 2 รางวัลอาหารจากเวที RED TABLE AWARDS 2025