เปิดมาตรการกรอบรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ
รัฐไฟเขียวกรอบรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ 22 มาตรการใน 3 ด้าน ผลักดันเศรษฐกิจปี 2556 ให้ขยายตัวได้ 5%
รัฐไฟเขียวกรอบรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ 22 มาตรการใน 3 ด้าน ผลักดันเศรษฐกิจปี 2556 ให้ขยายตัวได้ 5%
คณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 28 พ.ค.มีมติเห็นชอบกรอบเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ 2556 ประกอบด้วย มาตรการด้านการเงิน 7 มาตรการ มาตรการด้านการคลัง 7 มาตรการ และมาตรการเฉพาะด้าน 8 มาตรการ ขณะที่การดำเนินการมาตรการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ 22 มาตรการ รัฐบาลตั้งเป้าหมายทำให้เศรษฐกิจปี 2556 ขยายตัว 5%
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงว่า กรอบเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เป็นมาตรการที่บูรณาการทำงานด้านเศรษฐกิจในภาพใหญ่ เพื่อทำให้เศรษฐกิจปีนี้ขยายตัวอย่างมีเสถียรภาพ โดยรัฐบาลตั้งเป้าหมายขยายตัวของจีดีพีที่ 5% การส่งออกขยายตัวที่ 9%
สำหรับมาตรการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ ได้แก่ มาตรการการเงิน ที่หน่วยงานรัฐต้องประสานการทำงานกับธปท. คือ 1.การซื้อขายเงินตราต่างประเทศในอัตราแลกเปลี่ยน 2.การดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมกับพื้นฐานทางเศรษฐกิจ 3.มาตรการกำกับดูแลสถาบันการเงินเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาฟองสบู่ในภาคส่วนต่างๆ
4.พิจารณามาตรการจำกัดเงินทุนไหลเข้าอย่างระมัดระวังเมื่อจำเป็น 5.การบริหารจัดการเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ซึ่งทุนสำรองมีจำนวนที่สูงมากจึงต้องมีการเตรียมความพร้อมในการจัดตั้งกองทุนเพื่อความมั่งคั่ง (Sovereign Wealth Funds) 6.การช่วยเหลือภาคเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาท และ7.การสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาคในการดูแลอัตราแลกเปลี่ยน
มาตรการการคลัง ที่มีกระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลัก 1.การกำกับดูแลการเบิกจ่ายงบประมาณ 2.ดำเนินโครงการลงทุนขนาดใหญ่ เช่น การลงทุนระบบน้ำ 3.5 แสนล้านบาท และลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่ง 2 ล้านล้านบาท 3.กำหนดให้รัฐวิสาหกิจชำระหนี้หรือปรับโครงโครงสร้างหนี้เงินตราต่างประเทศ
4.ดำเนินการปฏิรูปโครงสร้างภาษี 5.สนับสนุนด้านสินเชื่อผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เช่น การให้สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ 6.ส่งเสริมให้ภาคธุรกิจเอกชนไปลงทุนในต่างประเทศในธุรกิจที่เหมาะสม และ7.การส่งเสริมการออมและการประกันภัย เช่น การเร่งรัดโครงการประกันภัยพืชผล
ส่วนมาตรการเฉพาะด้าน ให้แต่ละหน่วยงานไปดำเนินการ คือ 1.ยกระดับรายได้เกษตร เช่น การรับจำนำข้าว 22 ล้านตัน บัตรเครดิตเกษตรกร (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์) 2.เพิ่มสัดส่วนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเป็น 40% ของจีดีพี (กระทรวงการคลัง) 3.ขยายการลงทุนและพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ (กระทรวงอุตสาหกรรม)
4.เพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวเป็น 24.7 ล้านคนในปี 2556 และเพิ่มรายได้เป็น 2 เท่าในปี 2558 (กระทรวงการท่องเที่ยวฯ) 5.ตั้งเป้าหมายการขยายตัวการส่งออกในปี 2556 ที่อัตรา 9% (กระทรวงพาณิชย์) 6.มีแหล่งพลังงานที่มั่นคงในราคาเหมาะสม 7.ยกระดับเทคโนโลยีและการเข้าถึงบริการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) และ8.สร้างรายได้และกำลังซื้อ ลดต้นทุนประกอบอาชีพให้ผู้มีรายได้น้อย (กระทรวงการคลัง)
นายอาคม ระบุว่า มาตรการเพิ่มปริมาณเงินหรือคิวอีของประเทศยักษ์ใหญ่ คือ สหรัฐ ญี่ปุ่น และกลุ่มประเทศยุโรป คาดว่าจะทำให้ทั้งปี 2556 มีปริมาณเงินเพิ่มขึ้น 5.86 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 3 เท่าจากปริมาณเงินที่อัดฉีดในช่วงเกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี 2551
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯและรมว.คลัง กล่าวว่า กรอบรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจของประเทศที่ ครม. เห็นชอบครั้งนี้ ทำให้ครม.ได้เห็นภาพการทำงานที่สอดประสานกันของทุกหน่วยงานที่ดูแลด้านเศรษฐกิจ และครม.สั่งการให้ทุกหน่วยงานรายงานความคืบหน้ามาตรการให้ครม.ทราบทุกสัปดาห์ และจัดทำรายงานประจำเดือนรายงานครม.ด้วย
นอกจากนี้ ในการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 2557 เชื่อว่าจะมีข้อซักถามแนวทางแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลจะได้นำกรอบรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจดังกล่าวไปชี้แจงต่อสภาฯ
นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า รัฐมนตรีหลายคนในครม.สอบถามว่าจะมีการดำเนินการอย่างไรเพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของเศรษฐกิจภายนอก เพราะที่ผ่านมาเศรษฐกิจขนาดใหญ่ๆ ของโลกเพิ่มปริมาณเงินเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งมีผลทำให้ค่าเงินของทุกประเทศ รวมถึงไทยแข็งค่าขึ้น
“ต้องยอมรับว่าการที่เศรษฐกิจใหญ่ๆของโลกเพิ่มปริมาณเงินเข้ามาเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจของตัวเอง ซึ่งปี 2008 หรือวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ มีการเพิ่มปริมาณเงิน 1.85 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ แต่ในรอบนี้ประมาณการกันว่าจะมี มากกว่านั้น 3 เท่า ปริมาณเงินที่มากมายมหาศาล ทำให้ทุกประเทศรวมถึงไทยต้องพร้อมรับมือ”นายกิตติรัตน์กล่าว
นายกิตติรัตน์ ย้ำว่า ปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ทำให้มีสภาพคล่องทางการเงินและทรัพยากรทางการเงินที่มีอย่างท่วมท้น แต่ด้านที่ต้องระวัง คือ เมื่อปริมาณเงินสกุลหลักมีมากเกินไป ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนของค่าเงินสกุลต่างๆรวมทั้งเงินของไทยได้รับผลกระทบ โดยทำให้ค่าเงินที่แข็งค่าขึ้น เทียบกับสกุลเงินที่ถูกเพิ่มปริมาณเงิน
“สิ่งที่เราต้องสนใจ คือ เราต้องไม่ให้การเพิ่มปริมาณเงิน ทำให้ค่าเงินของเราเพิ่มขึ้นจนกระทั่งเราแข็งค่าเกินไปเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งและคู่ค้า ซึ่งทุกหน่วยงานมีความเข้าใจร่วมกันว่า เราไม่ต้องการเห็นอัตราแลกเปลี่ยนแข็งค่าขึ้นจนกระทบกับการแข่งขันและคู่ค้า”นายกิตติรัตน์กล่าว
ทั้งนี้ การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาค ได้แก่ นโยบายการเงินและคลัง กับนโยบายเศรษฐกิจจุลภาค ได้แก่ การดูแลภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงต้องสอดคล้องกัน เพราะหากเศรษฐกิจจุลภาคทำงานไม่ได้ นโยบายเศรษฐกิจมหภาคก็ช่วยไม่ไหว แต่หากเศรษฐกิจจุลภาคทำงานได้ดี แต่นโยบายเศรษฐกิจมหภาคไม่สอดคล้อง ก็ทำให้เศรษฐกิจมีปัญหาได้
นายกิตติรัตน์ ระบุว่า ภายใต้กรอบรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจมีการพูดถึงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่พูดเพียงหลักการว่าอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ยต้องเหมาะสม โดยไม่มีการกำหนดตัวเลขว่าจะเป็นเท่าใด แต่อัตราแลกเปลี่ยนที่ระบุถึงนั้น มีการระบุชัดเจนว่าค่าเงินบาทต้อไม่ให้แข็งค่าขึ้นเทียบกับคู่แข่งและคู่ค้า
“ตอนนี้ค่าเงินบาทไม่ได้อ่อนค่าจนเหลือเฟือ ส่วนดอกเบี้ยที่เหมาะสมนั้น ผมเห็นว่าต้องเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ทำให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนไป และส่งเสริมให้เกิดการออม ส่วนจะเป็นเท่าไหร่ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ไม่ใช่เราไปกำหนดว่าจะเป็นเท่าไหร่”นายกิตติรัตน์กล่าว
นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า นอกจากการบริหารนโยบายรายรับรายจ่ายและวินัยการเงินการคลังของประเทศให้มีประสิทธิภาพแล้ว จะต้องมีการส่งเสริมการออมภาคครัวเรือน ส่วนมาตรการดูแลภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง เช่น อุตสาหกรรม เกษตร และท่องเที่ยวจะมีทั้งมาตรการระยะ 6 เดือนและมาตรการระยะยาวที่ต่อเนื่อง
“กรอบเสถียรภาพทางเศรษฐกิจจะทำให้ปีนี้ขยายตัวตามที่คาดไว้ โดยรัฐบาลอยากเห็นเศรษฐกิจเติบโตตามศักยภาพ ไม่อยากเห็นการเติบโตแบบฟองสบู่ ที่โตมากๆในช่วงสั้นๆ แต่เติบโตไม่ได้ในปีถัดไป”นายกิตติรัตน์กล่าว
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ครม.ได้หารือมาตรการดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ซึ่งธปท.ได้เข้าไปชี้แจงในส่วนผลกระทบเกี่ยวกับนโยบายการเงิน และจะพบว่าข้อเสนอที่เสนอครม.ในครั้งนี้ สอดคล้องกับแนวทางของธปท.
“หลังการพูดคุยครั้งนี้ ผมไม่ได้รู้สึกถูกกดันอะไร แต่รู้สึกสบายใจเสียด้วยซ้ำ เพราะถ้ามาตรการที่เสนอมาทำได้ จะทำให้เราอยู่ในภาวะที่เตรียมตัวที่ดีมาก”นายประสารกล่าว
ส่วนการพิจารณาอัตราของดอกเบี้ยนโยบายของกนง.นั้น นายประสาร กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของกนง.


