จับกระแส Cloud Computing ดีอย่างไร?
ศูนย์วิจัยแนะธุรกิจเอสเอ็มอีควรนำระบบ Cloud Computing ไปใช้มากขึ้น ต้นทุนต่ำแต่การบริหารจัดการผ่าน IT มีประสิทธิภาพ
ศูนย์วิจัยแนะธุรกิจเอสเอ็มอีควรนำระบบ Cloud Computing ไปใช้มากขึ้น ต้นทุนต่ำแต่การบริหารจัดการผ่าน IT มีประสิทธิภาพ
Cloud Computing เป็นเทคโนโลยีที่มาแรงต่อเนื่องและมีความสำคัญขึ้นเรื่อยๆ เพราะประโยชน์ทางด้านต้นทุน โดยระบบดังกล่าวจะเปิดโอกาสให้อุตสาหกรรมขนาดเล็กมีโอกาสใช้ IT มากขึ้น ผู้พัฒนา ซอฟต์แวร์บน Cloud Computing เติบโต และผู้ผลิตอุปกรณ์หน่วยความจำอย่าง Hard Disk Drive (HDD) และ Solid State Drive (SSD) ได้รับประโยชน์
Cloud Computing คือเทคโนโลยีใหม่ที่เปลี่ยนรูปแบบการทำงานบนคอมพิวเตอร์จากการมีเซิร์ฟเวอร์ส่วนตัว ไปเป็นการเก็บข้อมูล และประมวลผลผ่านระบบของผู้ให้บริการ (Cloud Provider) ผ่านอินเตอร์เน็ต ซึ่งผู้ใช้บริการสามารถซื้อหรือเช่าบริการเท่าที่ต้องการ โดยไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องการจัดการ และสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านอุปกรณ์ทางเทคโนโลยีอย่าง Computer Smartphone หรือ Tablet
Cloud Computing ที่เป็นระบบสาธารณะมีแนวโน้มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยเฉพาะในธุรกิจขนาดเล็ก Cloud Computing สามารถแบ่งออกเป็นระบบคลาวด์ส่วนบุคคล (Private Cloud) และระบบคลาวด์สาธารณะ (Public Cloud) ซึ่งระบบคลาวด์ส่วนบุคคลเป็นระบบที่ถูกสร้างขึ้นมาใช้งานและบริหารจัดการกันเองภายในองค์กร โดยระบบสามารถติดตั้งภายในหรือภายนอกองค์กรก็ได้ แต่ใช้งานผ่าน Private network ซึ่งข้อดีของระบบคลาวด์ส่วนบุคคลคือมีความปลอดภัยสูง เนื่องจากสามารถควบคุมระบบภายในของตนเอง แต่ข้อด้อยคือมีต้นทุนการใช้งานค่อนข้างสูงต่างจากระบบคลาวด์สาธารณะ ซึ่งเป็นการใช้งานของระบบการเก็บข้อมูล การประมวลผล ร่วมกันหลายๆองค์กรโดยมี Cloud provider เป็นผู้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต โดย Cloud provider จะเป็นผู้กำหนดสิทธิ์การใช้ทรัพยากรของระบบให้แก่ผู้ใช้แต่ละราย ทำให้ระบบคลาวด์สาธารณะได้รับความนิยมมากกว่าในปัจจุบัน เนื่องจากการเติบโตของผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ต และการใช้อุปกรณ์พกพาอย่าง Smartphone และ Tablet ที่ทำให้ความต้องการการเข้าถึงข้อมูลทุกที่ทุกเวลาของผู้ใช้งานมีจำนวนสูงขึ้น และนอกจากจะตอบสนองความต้องการดังกล่าวแล้ว Cloud Computing ยังถูกนำมาใช้ในภาคธุรกิจมากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กที่มีข้อจำกัดด้านเงินทุนในการลงทุนด้าน IT
Cloud Computing ติด 1 ใน 10 เทคโนโลยีมาแรงติดต่อกันตั้งแต่ 2009 และยังคงแรงต่อเนื่อง ค่าใช้จ่ายของบริการ Cloud ทั่วโลกจะเติบโตจาก 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2011 เป็น 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2016 จากการคาดการณ์ของบริษัทวิจัย International Data Corporation (IDC) ซึ่งการเติบโตดังกล่าวคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย 30% ต่อปี (CAGR) สูงกว่าการเติบโตในค่าใช้จ่ายใน Traditional IT ถึง 6 เท่า ซึ่ง Cloud มีรูปแบบการให้บริการ 3 รูปแบบด้วยกันขึ้นกับการใช้งาน ซึ่งการให้บริการซอฟต์แวร์สำเร็จรูป (Software as a service, SaaS) เช่น Salesforce หรือ Google Apps จะมีสัดส่วนสูงที่สุดในบรรดาการให้บริการ Cloud ทั้งหมดและคาดว่าจะเติบโต 18% ต่อปีในอีก 4 ปีข้างหน้า เนื่องจากเป็นรูปแบบการให้บริการที่เหมาะสมสำหรับบริษัทขนาดเล็กที่ไม่มีความสามารถในการพัฒนาซอฟต์แวร์ของตนเองขึ้นใช้งานและมีความเสี่ยงน้อย
ในขณะที่การให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน หรือ Infrastructure as a service (IaaS) จะเติบโตสูงที่สุดที่ 43% และจะทำให้ Cloud เข้ามามีบทบาทมากขึ้นเป็นเมื่อเทียบกับการให้บริการ Cloud รูปแบบอื่นๆ เนื่องจากเป็นรูปแบบการให้บริการที่ผู้ให้บริการจัดเก็บ ประมวลผล สำรองข้อมูลให้ในยามฉุกเฉิน บริษัทสามารถเพิ่มและลดพื้นที่ได้ตามต้องการ โดยไม่ต้องลงทุนฮาร์ดแวร์เอง ในขณะที่การให้บริการ Platform as a service (PaaS) หรือการให้บริการเครื่องมือในการสร้าง Application มีแนวโน้มเติบโตดี แต่ยังมีสัดส่วนน้อยเนื่องจากเครื่องมือและเทมเพลตสำหรับการสร้างซอฟต์แวร์ที่ผู้ให้บริการนำเสนออาจไม่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งาน จึงทำให้มีปัญหาด้านความยืดหยุ่นน้อย
ปัจจัยด้านต้นทุนเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ภาคธุรกิจเริ่มใช้ Cloud Computing มากขึ้น ปัจจุบันองค์กรส่วนใหญ่ใช้พื้นที่บนฮาร์ดดิสก์เพียง 30-40% เท่านั้นและบางอย่างเป็นข้อมูลซ้ำ ซึ่งทำให้การใช้งานไม่คุ้มกับการลงทุนด้าน IT ของบริษัท ประกอบกับบริษัทขนาดเล็กไม่สามารถนำ IT เข้ามาใช้ได้มากเท่าที่ควรเพราะข้อจำกัดทางด้านเงินทุน ดังนั้น Cloud Computing จึงเป็นระบบที่ตอบโจทย์ทำให้บริษัทสามารถลดต้นทุนในการลงทุนด้าน IT ลงไปได้ค่อนข้างมาก ยกตัวอย่าง 11 บริษัทที่ใช้บริการของ Amazon Web Services พบว่า ต่อ 1 Application ที่บริษัทใช้บริการของ Amazon Web Services นั้น สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายโดยรวมกว่า 70% หรือเฉลี่ย 400,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี เมื่อเทียบกับการใช้งานด้าน IT แบบดั้งเดิม โดยบริษัทจะไม่มีต้นทุนโครงสร้างพื้นฐาน และสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการดูแล ซ่อมแซมระบบ รวมทั้งต้นทุนพัฒนา Application ไปได้ถึง 60%
ธุรกิจในไทยเล็งเห็นความสำคัญของระบบ Cloud มากขึ้นหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมในปี 2011 การใช้จ่ายในระบบ Cloud Computing ของไทยเติบโตจาก 32% เป็น 50% ในปี 2012[2] ซึ่งเหตุผลหนึ่งที่ Cloud เติบโตดี คือหลายบริษัทที่ประสบปัญหาเซิร์ฟเวอร์ได้รับความเสียหาย ข้อมูลที่สำคัญไม่สามารถกู้คืนมาได้ จึงเริ่มเห็นถึงความสำคัญของ Cloud computing ตัวอย่างเช่น ผู้ประกอบธุรกิจผลิตโฟมและบรรจุภัณฑ์ในไทยแห่งหนึ่งที่ทำรายได้กว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี ประสบปัญหาน้ำท่วมในโรงงานที่ทำการผลิต แต่ข้อมูลทางการผลิตและข้อมูลการเรียกเก็บเงินลูกค้าไม่สูญหายเลย เนื่องจากบริษัทใช้บริการ Cloud Computing ที่มีเซิร์ฟเวอร์และฐานข้อมูลทุกอย่างอยู่ใน Data Center ของผู้ให้บริการ Cloud จึงทำให้บริษัทกลับมาดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว
แต่ปัญหาเรื่อง ระบบโครงข่ายการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตของไทย ความปลอดภัยของข้อมูล และการสนับสนุนจากภาครัฐยังเป็นอุปสรรคที่ทำให้ไทยมีการใช้ Cloud Computing เป็นสัดส่วนไม่มากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ จากการวิเคราะห์ดัชนีความพร้อมของการใช้งาน Cloud Computing ของประเทศในเอเชียแปซิฟิกที่จัดอันดับโดย Asia Cloud Computing Association คิดจากความพร้อมในการใช้งาน Cloud Computing ในด้านต่างๆ เช่นความปลอดภัยของข้อมูล ความพร้อมของระบบ Broadband เป็นต้น พบว่าไทยถูกจัดอันดับไว้อยู่ในกลุ่มรั้งท้ายที่สุดทั้งในด้าน Index และการคาดการณ์การใช้จ่าย โดยไทยจะมีการใช้จ่ายใน Cloud Computing ไม่ถึง 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2013 ขณะที่จีนและอินเดียซึ่งเป็นประเทศที่มีความพร้อมอยู่ในระดับปานกลาง แต่คาดการณ์ปี 2013 จะมีการใช้งาน Cloud Computing สูงมาก เนื่องจากจีนเป็นประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่และมีบริษัทโทรคมนาคมขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ยกตัวอย่างในปี 2012 บริษัทโทรคมนาคม 3 แห่ง มีการลงทุนใน Cloud Computing รวม 4,700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นกว่า 60% ของการลงทุน Cloud ทั้งประเทศ ในขณะเดียวกัน 86% ของบริษัทชั้นนำในอินเดียเป็นบริษัทอินเตอร์เน็ต หรือผู้ให้บริการด้านการพาณิชยกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) จึงไม่น่าแปลกใจที่ทั้งสองประเทศดังกล่าวมีการใช้จ่าย Cloud Computing สูงกว่าภูมิภาคอื่นๆ และหากเทียบกับประเทศในเอเชียที่พัฒนาแล้วอย่างสิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน และมาเลเซีย จะมีการใช้จ่ายในระบบดังกล่าวตั้งแต่ 1,000-2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐและมีความพร้อมใน Cloud Computing สูงกว่าไทย ทั้งนี้ปัจจัยหลักที่ทำให้ไทยยังไม่นิยมใช้ Cloud Computing มากนัก เนื่องจากปัญหาความล่าช้าในการพัฒนาระบบโครงข่าย ความปลอดภัยของการดูแลข้อมูลที่ผู้ประกอบการยังไม่ให้ความไว้วางใจ และการขาดแรงสนับสนุนการลงทุนจากทางภาครัฐ
ข้อเสนอแนะในการพัฒนาระบบ Cloud Computing ในประเทศไทย
- SMEs ควรนำระบบ Cloud Computing มาใช้งาน IT มากขึ้น เนื่องจากลักษณะของการจ่ายตามที่ใช้งานเหมาะกับธุรกิจขนาดเล็กที่มีข้อจำกัดด้านเงินทุนอย่าง SME ซึ่งทำให้ไม่จำเป็นต้องลงทุนมหาศาลสำหรับการใช้งานใน Scale เล็ก ซึ่งจากข้อมูลของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมที่มีการจัดทำโครงการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันอุตสาหกรรมไทยด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ (ECIT) ในปี 2010 พบว่า SMEs ที่หันมาใช้ระบบ Cloud Computing นั้น สามารถประหยัดเงินลงทุนได้เฉลี่ยต่อโรงงานประมาณ 3 แสนบาท เมื่อเทียบกับการลงทุนซื้อฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์มาติดตั้งโดยตรง ค่าจ้างพนักงานด้าน IT และค่าบำรุงรักษารายปี ซึ่งการนำ IT มาใช้งาน น่าจะทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กเพิ่มประสิทธิภาพและสามารถมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจโดยไม่ต้องวุ่นวายกับการจัดการด้าน IT นอกจากนี้การประมูล 3G ที่เสร็จสิ้นไปนั้นเป็นสัญญาณที่ดีต่อระบบ Cloud เนื่องจากจะทำให้ผู้ใช้งานมีความมั่นใจมากขึ้น
- ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ควรเน้นการพัฒนาบนระบบคลาวด์มากขึ้น จากการเติบโตของการใช้งาน Cloud Computing การเติบโตของ Tablet และ Smartphone และการเตรียมพร้อมสำหรับ AEC ส่งผลให้องค์กรยอมรับ Cloud Computing รูปแบบ Software-as-a-service มากขึ้น โดยเฉพาะซอฟต์แวร์การจัดการองค์กรและซอฟต์แวร์สำหรับวิเคราะห์ข้อมูล ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ควรที่จะปรับตัว ศึกษา และลงทุนพัฒนา Application ใหม่ๆ ที่ใช้งานบนระบบ Cloud เพื่อตอบสนองความต้องการในตลาดส่วนนี้
- ผู้ผลิตอุปกรณ์หน่วยความจำอย่าง Hard Disk Drive (HDD) และ Solid State Drive (SSD) ได้รับประโยชน์ เทคโนโลยี Cloud Computing จะดึงดูดให้บริษัทต่างๆ เริ่มใช้บริการจาก Cloud Provider มากขึ้นเพื่อประหยัดต้นทุน ดังนั้นผู้ผลิต HDD จะยังคงได้ประโยชน์จากการเติบโตของบริการดังกล่าวเพราะนั่นหมายถึงความต้องการหน่วยความจำจำนวนมาก นอกจากนั้นปริมาณการขายสินค้า SSD สำหรับเซิร์ฟเวอร์ ใน Enterprise มีโอกาสเติบโตสูง คิดเป็นการเติบโต 63% เฉลี่ยต่อปี (CAGR 2009-2014F) จากการคาดการณ์ของ IHS iSuppli เนื่องจาก Cloud Provider หลายบริษัทเห็นประโยชน์ด้านความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลและการประหยัดพลังงานจึงนำ SSD มาใช้ควบคู่กับ HDD ที่มีความจุสูงเพื่อประโยชน์ทั้งในการเก็บข้อมูลและการประมวลผลของเซิร์ฟเวอร์


