บริษัทนักประดิษฐ์ 'เควิกกี' ปั้นไอเดียคุณให้ขายได้
นักวิทยาศาสตร์ ผู้ยิ่งใหญ่ อย่างไอน์สไตน์อาจไม่ได้มีดาษดื่นอยู่ทั่วไป แต่หากเป็นนักประดิษฐ์ที่สามารถคิดค้นอุปกรณ์แปลกใหม่มาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างน่าสนุกแล้ว เราสามารถพบเห็นผู้มีไอเดียบรรเจิดเหล่านี้ได้ในแทบทุกมุมเมือง
โดย...นันทิยา วรเพชรายุทธ
นักวิทยาศาสตร์ ผู้ยิ่งใหญ่ อย่างไอน์สไตน์อาจไม่ได้มีดาษดื่นอยู่ทั่วไป แต่หากเป็นนักประดิษฐ์ที่สามารถคิดค้นอุปกรณ์แปลกใหม่มาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างน่าสนุกแล้ว เราสามารถพบเห็นผู้มีไอเดียบรรเจิดเหล่านี้ได้ในแทบทุกมุมเมือง เพียงแต่ความคิดเหล่านี้อาจไม่ได้ถูกนำไปต่อยอดประดิษฐ์ของออกมาเป็นรูปร่างอย่างแท้จริง เนื่องด้วยข้อจำกัดของเงินทุน สถานที่ และอื่นๆ
เบน คอฟแมน เด็กหนุ่มชาวอเมริกันเล็งเห็นถึงโอกาสที่จะต่อยอดความคิดเหล่านี้ให้เป็นธุรกิจเชิงสร้างสรรค์ ที่สามารถเค้นพลังจากบรรดานักประดิษฐ์หน้าใหม่และยังทำเงินไปได้พร้อมๆ กัน จึงนำไปสู่การเปิดตัว “เควิกกี” (Quirky) บริษัทที่พร้อมรับฟังไอเดียการประดิษฐ์ที่น่าสนใจ และให้ทุนพร้อมสถานที่สนับสนุนอย่างเต็มที่
เว็บไซต์อองเทรอพรีเนอร์ รายงานว่า จุดเริ่มต้นของไอเดียการเปิดบริษัทผลิตสิ่งประดิษฐ์สุดล้ำนี้ เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2005 ขณะที่คอฟแมนเห็นสาวรายหนึ่งในรถไฟใต้ดินนิวยอร์ก สวมหูฟังไอพอดของบริษัท โมฟี บริษัทที่หนุ่มรายนี้ตั้งขึ้นเมื่ออายุเพียง 18 ปีเท่านั้น ทำให้เกิดความรู้สึกโลดแล่นเมื่อเห็นผู้คนใช้สินค้าที่ตนเองประดิษฐ์ขึ้น และคิดว่าน่าจะช่วยให้อีกหลายคนได้มีประสบการณ์แบบเดียวกัน จึงได้ตัดสินใจเปิดบริษัทขึ้นที่นครนิวยอร์กในอีก 4 ปีต่อมา
เควิกกี คือรูปแบบของเว็บไซต์สังคมออนไลน์ที่ให้สมาชิกกว่า 2.6 แสนคน ระดมเสนอไอเดียเด็ดในทุกๆ สัปดาห์ โดยจะเลือกแนวคิด 2 ชิ้นที่โดดเด่นที่สุดไปหารือกับผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ผู้มีประสบการณ์กับบริษัทระดับโลกอย่าง พีแอนด์จี และ ฟิลิปส์ ก่อนจะนำไปประดิษฐ์เป็นผลิตภัณฑ์จริง และนำออกวางจำหน่ายบนเว็บไซต์ของเควิกกี รวมถึงเครือข่ายร้านพันธมิตรในสหรัฐ เช่น เบด บาธ แอนด์ บียอนด์, สเตเปิลส์ และทาร์เก็ต
ไอเดียที่คัดเลือกมานั้นนอกจากจะต้องเด็ดและโดดเด่นแล้ว ยังต้องประดิษฐ์ขึ้นเพื่อให้ใช้งานได้จริง และขายได้ตามท้องตลาดทั่วไปด้วย โดยต้องเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ไม่ใช้ซอฟต์แวร์ซับซ้อน และสามารถขายปลีกได้ในราคาชิ้นละไม่เกิน 150 เหรียญสหรัฐ (ราว 4,500 บาท)
ธุรกิจเชิงสร้างสรรค์เช่นนี้ช่วยให้เกิดรายได้ที่น่าพอใจทั้งสองทาง บริษัทจะคิดค่าธรรมเนียมสมาชิกเมื่อแรกเริ่มลงทะเบียนคนละ 10 เหรียญสหรัฐ ได้สิทธิในไอเดียผลิตสินค้านั้นๆ และมีรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ขณะที่ผู้เป็นเจ้าของไอเดียสุดเจ๋งที่ได้รับเลือก จะได้รับค่าสิทธิจากการขายสินค้า 30% บนเว็บของเควิกกี และรับในสัดส่วน 10% บนร้านค้าปลีกอื่นๆ
เฉพาะในปี 2011 บริษัทได้จ่ายค่าสิทธิให้เจ้าของไอเดียและผู้ผลิตสินค้าไปแล้วราว 6 แสนเหรียญสหรัฐ (ราว 18 ล้านบาท) โดยสมาชิกต่างมีรายได้กันโดยเฉลี่ยคนละ 1 หมื่นเหรียญสหรัฐ (ราว 3 แสนบาท) และผู้ที่มีความคิดพรั่งพรูที่สุดนั้น ก็ทำเงินไปได้ถึง 1 แสนเหรียญสหรัฐ (ราว 3 ล้านบาท) ทีเดียวเลย
ขณะที่ยอดขายของบริษัทนั้น แม้จะเป็นตัวเลขที่ไม่หวือหวา แต่ก็มีทิศทางเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 1 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 30 ล้านบาท) ในปี 2010 หรือครบรอบขวบปีแรกของการเปิดบริษัท เควิกกีมียอดขายขยับเพิ่มขึ้นเป็น 18 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 540 ล้านบาท) ในปี 2012 จากการจำหน่ายสินค้าไปแล้วกว่า 200 รายการ
ทิศทางการเติบโตเป็นอย่างดี ยังช่วยให้เควิกกีสามารถระดมทุนจากบรรดาเวนเจอร์ แคปปิตอล และนักลงทุนอิสระได้ถึง 68 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 2,000 ล้านบาท) ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ช่วยขยับขยายให้บริษัทเล็กๆ ที่มีพนักงานเพียงไม่กี่สิบคนเมื่อเริ่มต้น เพิ่มจำนวนขึ้นเป็น 105 คน และช่วยให้บริษัทสามารถเพิ่มไลน์สินค้าไปยังกลุ่มของเล่น โดยผู้ประกอบการหนุ่มรุ่นใหม่ตั้งเป้าว่า จะทำให้เควิกกีกลายเป็นศูนย์กลางของนักประดิษฐ์หน้าใหม่ที่ทุกคนต้องนึกถึง
“เมื่อทุกคนพูดว่าฉันมีไอเดียเจ๋งๆ ผมอยากให้ทุกคนนึกถึงเควิกกีตามมาเป็นอันดับแรก” คอฟแมน กล่าว


