posttoday

ราคาเดียวหลังรวมท่อ?

16 พฤษภาคม 2556

แนวคิดการรวมบริษัทท่อขนส่งน้ำมันในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 2 รายใหญ่ คือ บริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย (แทปไลน์) กับบริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ (เอฟพีที) เกิดขึ้นตามนโยบายของกระทรวงพลังงาน ในโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศ โดยการขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อ ให้ครอบคลุมพื้นที่มากขึ้นทั่วประเทศ

แนวคิดการรวมบริษัทท่อขนส่งน้ำมันในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 2 รายใหญ่ คือ บริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย (แทปไลน์) กับบริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ (เอฟพีที) เกิดขึ้นตามนโยบายของกระทรวงพลังงาน ในโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศ โดยการขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อ ให้ครอบคลุมพื้นที่มากขึ้นทั่วประเทศ

เป้าหมายสำคัญของการรวมท่อ คือ ต้องการให้ราคาขายปลีกน้ำมันทั่วประเทศมีความแตกต่างกันน้อยที่สุด โดยเฉพาะราคาน้ำมันหน้าคลังน้ำมันจะต้องเป็นราคาเดียวกัน เพราะหากขนส่งน้ำมันทางท่อได้ จะช่วยลดต้นทุนการขนส่งน้ำมันทางรถบรรทุก จึงไม่จำเป็นต้องบวกค่าใช้จ่ายในการขนส่งไว้ในราคาน้ำมัน สำหรับน้ำมันที่จำหน่ายในพื้นที่ห่างไกล

ทั้งนี้ การพัฒนาระบบขนส่งน้ำมัน จำเป็นต้องขยายไปสู่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) มากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันระบบการขนส่งน้ำมันยังมีประสิทธิภาพต่ำ โดยเป็นการขนส่งด้วยรถบรรทุก และวิ่งระยะทางไกลไปยังจุดหมาย คือ คลังน้ำมันขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ในชุมชนเมือง

เมื่อเทียบกับการขนส่งน้ำมันภาคอื่นๆ อาทิ ภาคตะวันออกที่มีโรงกลั่น และคลังน้ำมันขนาดใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่ใช้น้ำมัน ด้าน กทม. ภาคกลาง และภาคใต้ ก็ใช้ระบบท่อและเรือในการขนส่งจากโรงกลั่น และมีคลังน้ำมันขนาดใหญ่ในพื้นที่ ส่งผลให้เกิดส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันระหว่าง กทม.กับจังหวัดในภาคเหนือและอีสานตั้งแต่ 27-55 สต./ลิตร

สำหรับประโยชน์ของการขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อ จะช่วยลดระยะทางการขนส่งทางรถบรรทุกจากเดิมมีระยะทาง 146 ล้าน กม./ปี เหลือ 68 ล้าน กม./ปี ประหยัดการใช้น้ำมันในการขนส่งปีละ 40 ล้านลิตร/ปี ขณะเดียวกันยังช่วยลดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้อีกทางหนึ่ง

นอกจากนั้น กระทรวงพลังงานยังคาดหวังได้ประโยชน์เชิงนโยบาย เพราะการขยายท่อส่งน้ำมัน จะส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจภาคเหนือและอีสาน เพราะราคาน้ำมันจะสามารถลดลงอยู่ในระดับเดียวกับภาคกลาง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุน อีกทั้งยังเป็นการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานในภูมิภาคด้วย

แต่ประเด็นหลักที่ต้องพิจารณากันในขณะนี้ คือ การลงทุนจะเป็นลักษณะใด โดยก่อนหน้ากระทรวงพลังงานมีแนวทางจะให้ บริษัท แทปไลน์ เข้ามาลงทุน เนื่องจากมี ปตท.และไทยออยล์ ถือหุ้นรวมกันใหญ่ที่สุด 42.38% ที่เหลือเป็นการถือหุ้นของบริษัทต่างชาติ ได้แก่ เอสโซ่ คาลเท็กซ์ เชลล์ ซัสโก้ คิวเอท และบีพี แต่ติดปัญหาตรงที่ผู้ถือหุ้นบริษัทน้ำมันต่างชาติไม่เห็นด้วย เพราะผลตอบแทนการลงทุนไม่คุ้มค่า

ล่าสุด “พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล” รมว.พลังงาน นั่งหัวโต๊ะหารือกับบริษัทท่อขนส่งน้ำมันทั้ง 2 ราย มีความคิดในหลักการเดียวกันคือ ทำอย่างไรให้ราคาน้ำมันหน้าคลังทั่วประเทศเป็นราคาเดียวกัน โดยต้องการให้มีการรวมบริษัทท่อน้ำมันเพื่อเดินหน้าโครงการลงทุนท่อขนส่งน้ำมันเหนืออีสาน ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงานไปศึกษารูปแบบการลงทุนให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน

ในเบื้องต้น จะต้องศึกษาว่าการรวมบริษัท่อน้ำมันเข้าด้วยกัน โครงสร้างการถือหุ้นจะเป็นอย่างไร โดยประเมินจากฐานะทางการเงินของแต่ละบริษัทควบคู่กันไปด้วย รวมถึงผลตอบแทนการลงทุนของโครงการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งเคยประเมินไว้ว่าจะใช้เงินลงทุน 1.8-1.9 หมื่นล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ความคาดหวังจะให้ประชาชนทั่วประเทศได้ใช้น้ำมันราคาเดียวกัน บนพื้นฐานของความพร้อมระบบท่อขนส่งน้ำมันที่เชื่อมต่อกันทุกภูมิภาค อาจจะต้องใช้เวลา เนื่องจากใช้เงินลงทุนสูง และมีความเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน รวมถึงเสถียรภาพของรัฐบาลที่มีผลต่อความต่อเนื่องของนโยบายดังกล่าว ดังนั้น การกำหนดราคาน้ำมันหน้าคลังราคาเดียว จะทำได้แค่ไหน และจะช่วยทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันในต่างจังหวัดมีโอกาสลดลงได้จริงหรือไม่ เป็นคำถามที่ยังรอคำตอบ

ข่าวล่าสุด

รองนายกฯ “เอกนิติ” มอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ประจำปี 2568