posttoday

‘สมพร’ซื้อหุ้นมติชน

05 พฤษภาคม 2556

ความเคลื่อนไหวในตลาดหุ้นรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการซื้อขายหุ้นรายการใหญ่ (บิ๊กล็อต) หุ้นของบริษัท มติชน (MATI) เมื่อวันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมา

ความเคลื่อนไหวในตลาดหุ้นรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการซื้อขายหุ้นรายการใหญ่ (บิ๊กล็อต) หุ้นของบริษัท มติชน (MATI) เมื่อวันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมา รวม 5 รายการ จำนวน 42,388 หุ้น รวม 469.94 ล้านบาท ในราคาหุ้นละ 11.09 บาท

รายการซื้อขายหุ้นดังกล่าวเป็นของสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท ไทยซัมมิท โอโตพาร์ท อินดัสตรี ซึ่งเปิดเผยว่าได้ซื้อหุ้นมติชนจากบริษัทในกลุ่มแกรมมี่ จำนวน 470 ล้านบาท เนื่องจากมองว่าเป็นบริษัทที่มั่นคงและเป็นสินค้าที่ดี ในขณะที่ภาพรวมธุรกิจสื่อน่าสนใจ อนาคตยังเติบโตได้มาก รวมทั้งสื่อสิ่งพิมพ์มีฐานแข็งแกร่ง สามารถขยายธุรกิจไปยังสื่อใหม่ได้

นอกจากนี้ยังระบุว่า ขณะนี้ยังไม่มีแผนที่จะทำอะไรหรือส่งใครไปเป็นกรรมการในบริษัท มติชน ส่วนมีแผนจะซื้อหุ้นบริษัท โพสต์ พับลิชชิง (POST) จากกลุ่มแกรมมี่หรือไม่นั้น ยอมรับว่ามีการคุยกันบ้าง แต่ปัจจุบันยังไม่เกี่ยวกัน ช่วงนี้ขอซื้อหุ้นมติชนแห่งเดียวก่อน

ในวันเดียวกัน บริษัท มติชน ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ว่า โครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทเปลี่ยนหลังจากบริษัท จีเอ็มเอ็ม มีเดีย ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มแกรมมี่ และถือหุ้นอันดับ 2 ได้ขายหุ้นออกไปทั้งหมดจำนวน 41 ล้านหุ้น คิดเป็น 22.12% ของทุนชำระแล้ว

‘สมพร’ซื้อหุ้นมติชน

 

 

 

 

 

 

ดัชนีทำสถิติสูงสุด 1,603 จุด

ด้านดัชนีตลาดหลักทรัพย์ยังคงผันผวนต่อเนื่อง โดยตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะออกมาตรการมาดูแลค่าเงินบาทที่แข็งค่า แต่ที่สุดแล้วก็ยังไม่มีออกมา ในขณะที่ดัชนีพยายามทดสอบแนวต้าน 1,600 จุดอีกครั้ง โดยทำระดับสูงสุดใหม่ไว้ที่ 1,603.01 จุด จากวันที่ 19 มี.ค.ที่ผ่านมา แต่ยังไม่สามารถยืนเหนือ 1,600 จุดได้หลังจากข้อมูลเศรษฐกิจในยูโรโซนและจีนที่อ่อนแอ ทำให้มีแรงขายทำกำไรออกมา

ดัชนีปิดท้ายสัปดาห์ที่ระดับ 1,578.95 จุด ลดลง 0.25% จากสัปดาห์ก่อน ด้านมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันลดลง 15.67% จากสัปดาห์ก่อน มาอยู่ที่ 50,635.06 ล้านบาท โดยนักลงทุนรายย่อยและบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ ขณะที่นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ

ปตท.สผ.กำไรโต 10%

บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ทยอยแจ้งผลประกอบการไตรมาสแรกปี 2556 ออกมา โดยบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท.สผ. (PTTEP) กำไรสุทธิรวม 2.02 หมื่นล้านบาท เติบโต 10.77% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1.82 หมื่นล้านบาท ซึ่งผลงานออกมาดีกว่านักวิเคราะห์คาด

สำหรับรายได้รวมของ ปตท.สผ. และบริษัทย่อยอยู่ที่ 5.68 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.5% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 5.04 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม รายได้ที่เพิ่มขึ้นโดยส่วนใหญ่เป็นผลจากปริมาณการขายปิโตรเลียมเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 2.61 แสนบาร์เรล เทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันเมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณการขายเฉลี่ยในไตรมาสแรกปี 2555 ที่ 2.53 แสนบาร์เรล

ทั้งนี้ หากพิจารณากำไรในรูปเงินเหรียญสหรัฐจะอยู่ที่ 680 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 15% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 589 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นผลมาจากการดำเนินงานตามปกติจำนวน 585 ล้านเหรียญสหรัฐ และกำไรจากรายการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานปกติ จำนวน 95 ล้านเหรียญสหรัฐ

ด้านบริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง (PSL) พลิกจากขาดทุนสุทธิ 40.95 ล้านบาท เป็นกำไรสุทธิ 276.55 ล้านบาท หรือ 0.27 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นไปตามนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ

‘สมพร’ซื้อหุ้นมติชน

 

 

 

 

 

 

ตลท.เตรียมรับมือมาตรการคุมบาท

จรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลท.มีเครื่องมือไว้รองรับหากทาง ธปท.ออกมาตรการเข้ามาควบคุมเพื่อรักษาค่าเงินบาทให้มีความเสถียรภาพกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งสิ่งที่ ตลท.ทำได้ในตอนนี้ คือ แปลข้อความมาตรการว่ามีผลอย่างไร ถ้าออกมาในเชิงลบก็ต้องทำความเข้าใจกับนักลงทุนและโบรกเกอร์เพื่อที่จะได้สื่อสารไปในทางเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม ตลท.รอดูว่าทางการจะมีเครื่องมืออะไรออกมา หากหุ้นร่วงเกิน 100 จุด ก็จะใช้มาตรการเซอร์กิต เบรกเกอร์ หรือหยุดทำการซื้อขายชั่วคราว 30 นาที โดยปัจจุบันเงินต่างชาติเข้ามาลงทุนในหุ้นน้อย เงินส่วนใหญ่อยู่ที่ตราสารหนี้มากกว่า

สภาธุรกิจตลาดทุนจี้รัฐคุมตราสารหนี้สั้น

ไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยหลังการประชุมหารือร่วมกับคณะกรรมการและที่ปรึกษา สภาธุรกิจตลาดทุนไทย ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 7 องค์กร ได้แก่ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย สมาคมบริษัทจัดการลงทุน และสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย เมื่อวันที่ 3 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยที่ประชุมเสนอให้รัฐบาลออกมาตรการจำกัดการเก็งกำไรของต่างชาติ ด้วยการห้ามนักลงทุนต่างชาติลงทุนตราสารหนี้ระยะสั้นของภาครัฐอายุไม่เกิน 6 เดือน โดยไม่รวมของภาคเอกชน เพราะการเก็งกำไรในตราสารหนี้ระยะสั้นเป็นต้นตอของปัญหาเงินบาทแข็งค่า โดยยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้นโยบายลดดอกเบี้ย

นอกจากนี้ มองว่าการออกมาตรการต่างๆ ไม่ควรกระทบความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจและตลาดทุนโดยรวม และไม่เห็นด้วยกับการออกมาตรการที่จะจำกัดการลงทุนในตลาดหุ้นหรือตลาดตราสารหนี้ระยะยาว เพราะประเทศไทยยังต้องการเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติจำนวนมากในช่วงของการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน

ข่าวล่าสุด

ตลาดหุ้นสหรัฐปิดลบ กังวลเงินทุนด้านเอไอกดดันหุ้นเทคโนโลยี