posttoday

ส่องธุรกิจร้านชา-กาแฟ ตลาดไทย...ยังหอมกรุ่น

29 เมษายน 2556

ภาพรวมตลาดกาแฟสดของไทยในปัจจุบัน มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 6,000 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโตสูงต่อเนื่องกว่า 20% ต่อปี

โดย...ดวงใจ จิตต์มงคล

ภาพรวมตลาดกาแฟสดของไทยในปัจจุบัน มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 6,000 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโตสูงต่อเนื่องกว่า 20% ต่อปี ซึ่งมาจากพฤติกรรมผู้บริโภคโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ที่หันมาดื่มกาแฟสดมากขึ้น ทำให้ธุรกิจร้านกาแฟแบรนด์ต่างๆ ทั้งที่เป็นแบรนด์ของตัวเอง หรือรูปแบบแฟรนไชส์เติบโตขึ้นตามไปด้วย

กิจจา วงศ์วารี กรรมการบริหาร บริษัทในเครืออโรม่า กรุ๊ป ผู้นำด้านธุรกิจกาแฟคั่วบดครบวงจรมากว่า 50 ปี และผู้ให้บริการร้านกาแฟแบรนด์ ไนน์ตี้โฟร์ คอฟฟี่ ชาวดอย และล่าสุดแตกไลน์ใหม่ ร้านเครื่องดื่มชานมไข่มุก ภายใต้แบรนด์ชาวดอย และบับเบิ้ลที มองว่าตลาดเครื่องดื่มทั้งกลุ่มกาแฟ และชา ในประเทศไทย ยังมีโอกาสการเติบโตได้ดี ทั้งในกลุ่มเป้าหมายคอกาแฟ และผู้ที่ไม่ดื่มกาแฟ เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้บริษัทตัดสินใจดำเนินธุรกิจเครื่องดื่มตัวใหม่

“หลังจากวิจัยตลาดมาระยะหนึ่ง ทำให้รู้ว่าเครื่องดื่มชานมไข่มุกจะไม่ใช่กลุ่มสินค้าแฟชั่นที่มาไวไปไว เพราะร้านเครื่องดื่มแต่ละแห่งมีมานานไม่ต่ำกว่า10 ปี ก่อนหน้านี้ไม่มีใครสร้างแบรนด์เป็นของตัวเอง แต่ขณะนี้กระแสเครื่องดื่มชาประเภทต่างๆ กลับมาอีกครั้ง ทำให้เจ้าของสินค้าทุกรายทั้งในและต่างประเทศต่างมุ่งสร้างแบรนด์ของตัวเองเพื่อต่อยอดขยายธุรกิจในอนาคต” กิจจา กล่าว

สำหรับเครืออโรม่า กรุ๊ปเตรียมงบลงทุนไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท แบ่งเป็น 50 ล้านบาท เพื่อขยายพื้นที่โรงงานที่ จ.ฉะเชิงเทรา อีก 2,000 ตร.ม. เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตเมล็ดกาแฟคั่วบดเพิ่มอีก 50% หรือราว 4,000 ตันต่อปี จากเดิมที่มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 2,000 ตันต่อปี

พร้อมกันนี้ ได้เพิ่มไลน์การผลิตสินค้าประเภท นอนคอฟฟี่ ทั้งกลุ่มผงสำหรับผสมเครื่องดื่มต่างๆ เช่น ชา โกโก้ รวมถึงเครื่องดื่มแนวใหม่ๆ อย่างชานมไข่มุก ซึ่งสินค้าในกลุ่มประเภทนี้ มียอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยจะแยกไลน์การผลิตระหว่างสินค้าประเภท กาแฟ และไม่ใช่กาแฟ ออกจากกันอย่างชัดเจน คาดว่าโรงงานเฟส 2 จะแล้วเสร็จในเดือน พ.ย.ปีนี้

กิจจา บอกว่า มองเห็นโอกาสจากกำลังซื้อผู้บริโภคระดับกลางที่ขยายตัวมากขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสของผู้ที่คิดจะลงทุนทำธุรกิจเครื่องดื่ม ปัจจุบัน หากมีลูกค้าเดินเข้ามาในร้าน 3-4 คน ก็มักพบว่าจะมี 2 ใน 3 คนที่ไม่ดื่มกาแฟ นั่นคือช่องว่างของธุรกิจเครื่องดื่มกลุ่มนี้ ที่ผู้ประกอบการร้านกาแฟสามารถต่อยอดธุรกิจเพื่อให้บริการแก่ลูกค้าเดิม และขยายฐานลูกค้าใหม่ได้พร้อมกัน

นอกจากนี้ บริษัทเตรียมงบลงทุนเพื่อเปิดร้านอโรม่า ช็อป (Aroma Shop) ซึ่งเป็นศูนย์บริการธุรกิจกาแฟครบวงจร โดยปีนี้จะเปิดร้านดังกล่าวให้ได้ 35 สาขา จากปัจจุบันมีอยู่ 24 สาขา พร้อมวางเป้าเปิดร้านอโรม่า ช็อปได้ครบ 50 สาขา ในทุกภูมิภาคของประเทศ โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีกำลังซื้อ

ขณะเดียวกัน บริษัทยังตัดสินใจผลิตเครื่องชงกาแฟและเครื่องบดเมล็ดกาแฟ เพื่อทำตลาดทั้งในและต่างประเทศ ภายใต้แบรนด์ของตัวเอง โดยใช้งบกว่า 10 ล้านบาท ออกแบบดีไซน์และพัฒนาเครื่อง และสั่งผลิตที่โรงงานจากฝั่งยุโรปทั้งหมด และเตรียมพัฒนาแบรนด์สินค้าเป็นของตัวเอง กลุ่มอาเซียนและยุโรปในอนาคต จากปัจจุบันบริษัทเป็นดีลเลอร์นำเข้าและจำหน่ายเครื่องชงกาแฟจากประเทศอิตาลีและสเปน อาทิ เอ็กซ์โพบาร์ (Expobar) จากสเปน และเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องชงกาแฟให้แก่แบรนด์ เฟม่า (FAEMA), เวก้า (WEGA) จากประเทศอิตาลี

สำหรับธุรกิจของ อโรม่า กรุ๊ป ในปีนี้คาดว่าจะเติบโตได้ 30-40% จากปีที่ผ่านมาที่มีรายได้รวมกว่า 1,300 ล้านบาทจากปัจจุบันบริษัทเปิดให้บริการร้านไนน์ตี้ โฟร์ คอฟฟี ราว35 สาขา คาดสิ้นปีนี้มี 40 สาขา, ร้านกาแฟสดชาวดอย มีจุดจำหน่าย(คิออส) 300 สาขา และแบรนด์บับเบิล ที วางแผนเปิดครบ 20 สาขาในสิ้นปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 10 สาขา” กิจจา กล่าว

ข่าวล่าสุด

วปอ.68 มอบตาข่ายป้องกันโดรน ทิ้งระเบิด และสิ่งของ ช่วยทหารชายแดนภาค 2