posttoday

เงื่อนไขอำนาจเหนือตลาด

25 เมษายน 2556

การเข้าซื้อกิจการบริษัท สยามแม็คโคร ของบริษัท ซีพี ออลล์ ผู้บริหารร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ด้วยจำนวนเงินมหาศาล 1.8 แสนล้านบาท ซึ่งจะทำให้ซีพี ออลล์ กลายเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สุดในตลาดค้าปลีกค้าส่งในขณะนี้

การเข้าซื้อกิจการบริษัท สยามแม็คโคร ของบริษัท ซีพี ออลล์ ผู้บริหารร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ด้วยจำนวนเงินมหาศาล 1.8 แสนล้านบาท ซึ่งจะทำให้ซีพี ออลล์ กลายเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สุดในตลาดค้าปลีกค้าส่งในขณะนี้

ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตามองหลังการควบรวมกิจการ คือ ความที่ซีพี ออลล์ จะกลายเป็นผู้มีอำนาจเหนือตลาดตาม พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542

ทั้งนี้ ผู้มีอำนาจเหนือตลาดตามที่กฎหมายกำหนดเงื่อนไขว่า คือ ผู้ประกอบการธุรกิจรายใดรายหนึ่งในตลาดสินค้าใดสินค้าหนึ่ง หรือบริการใดบริการหนึ่ง ที่มีส่วนแบ่งตลาดในปีที่ผ่านมาตั้งแต่ 50% ขึ้นไป และมียอดเงินขายในปีที่ผ่านมาตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป เป็นผู้มีอำนาจเหนือตลาด

นอกจากนี้ ยังกำหนดให้ผู้ประกอบการธุรกิจในระบบ 3 รายแรก ในตลาดสินค้าใดสินค้าหนึ่ง หรือบริการใดบริการหนึ่ง ที่มีส่วนแบ่งตลาดในปีที่ผ่านมารวมกันตั้งแต่ 75% ขึ้นไป และมียอดเงินขายในปีที่ผ่านมาตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป แต่จะไม่ใช้บังคับกับผู้ประกอบการธุรกิจรายใดรายหนึ่งที่มีส่วนแบ่งตลาดในปีที่ผ่านมาต่ำกว่า 10% หรือยอดเงินขายในปีที่ผ่านมาต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ก็ให้เป็นผู้มีอำนาจเหนือตลาด

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบริษัท ซีพี ออลล์ จะเป็นผู้มีอำนาจเหนือตลาดตามเงื่อนไขของกฎหมาย แต่ยังไม่ถือว่ามีการทำผิด พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า เพราะหากไม่มีพฤติกรรมที่ใช้อำนาจเหนือตลาดในการแข่งขันทางการค้าไม่เป็นธรรมกับผู้ประกอบธุรกิจรายอื่น เช่น การกีดกันไม่ให้ธุรกิจรายอื่นเข้าสู่ตลาด หรือมีการขายสินค้าต่ำกว่าทุน หรือขายพ่วงสินค้าจนกระทบผู้ผลิตและผู้จำหน่ายทั่วไป ก็ไม่ถือว่าผิดตามกฎหมาย

แต่หากซีพี ออลล์ หรือผู้ประกอบการรายอื่นที่มีอำนาจเหนือตลาดและมีพฤติกรรมเอาเปรียบทางการค้า ก็สามารถส่งเรื่องฟ้องไปยังศาลเพื่อเอาผิด ซึ่งจะมีโทษจำคุก 3 ปี ปรับ 6 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ที่ผ่านมายังไม่เคยมีการเอาผิดตาม พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า ต่อผู้มีอำนาจเหนือตลาดที่มีพฤติกรรมแข่งขันอย่างไม่เป็นธรรม เช่น กรณีของบริษัท เอ.พี.ฮอนด้า ที่ถูกร้องเรียนจากผู้ประกอบการสินค้าเดียวกันในตลาด ว่ามีพฤติกรรมแข่งขันทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม ใช้อำนาจเหนือตลาดกีดกันร้านค้าไม่ให้ขายสินค้าของคู่แข่ง

โดยเมื่อปี 2546 หรือ 10 ปีที่ผ่านมา บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า ถูกบริษัท ไทยซูซูกิมอเตอร์ บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ และบริษัท คาวาซากิ ร้องเรียนว่าเอาเปรียบคู่แข่ง โดย เอ.พี.ฮอนด้า บังคับให้ตัวแทนจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้าห้ามดำเนินการจำหน่ายรถจักรยานยนต์บริษัทคู่แข่ง การกระทำดังกล่าวได้สร้างความเสียหายทางธุรกิจ

อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลา 10 ปีหลังจากมีการร้องเรียน กระทรวงพาณิชย์ก็ดำเนินการสอบสวนและนำส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการอัยการฟ้องร้องต่อศาลหลายครั้ง แต่ก็ถูกตีกลับให้สอบสวนใหม่ทุกครั้ง เพราะเห็นว่ามีข้อมูลหลักฐานไม่เพียงพอ จนทำให้คดีดังกล่าวอาจจะหมดอายุความไปในที่สุด ทำให้ไม่สามารถใช้กระบวนการยุติธรรมดำเนินการพิสูจน์พฤติกรรมของ เอ.พี.ฮอนด้า ได้ ว่ามีการกระทำความผิดจริงหรือไม่

ความล่าช้าดังกล่าวยังจะทำให้ พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 ของไทยขาดความศักดิ์สิทธิ์ตามไปด้วย และยิ่งหากมีการรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 การเอาเปรียบทางการค้าก็มีโอกาสรุนแรงขึ้นตาม กรมการค้าภายในจึงมีแนวทางที่จะแก้ไข พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า ให้กรมการค้าภายในสามารถส่งเรื่องฟ้องร้องต่อศาลในกรณีความผิดต่างๆ ที่คณะกรรมการฯ ตัดสินถึงที่สุดแล้ว จากเดิมต้องให้สำนักงานคณะกรรมการอัยการส่งฟ้องเงื่อนไขอำนาจเหนือตลาด

ข่าวล่าสุด

"ธรรมนัส” เผย 25 ธ.ค.นี้ กล้าธรรมเปิดตัวสส.ทั้งเขต-ปาร์ตี้ลิสต์