การตีความหรือการแก้ไขคำพิพากษา
ช่วงนี้มีข่าวเกี่ยวกับการต่อสู้คดีระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา โดยประเทศกัมพูชาได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอตีความคำพิพากษาให้ชัดเจนเกี่ยวกับพื้นที่บริเวณใกล้เคียงกับเขาพระวิหาร รวมทั้งมีการยื่นเอกสารใหม่ประกอบการตีความสืบพยานในชั้นศาล เป็นที่สนใจของประชาชนเป็นอย่างมาก หลายคนสอบถามผมในฐานะเป็นทนายความมานานถึง 28 ปี ว่า ในประเทศไทยคดีที่ศาลพิพากษาแล้ว โดยเฉพาะคดีทางอาญาจะแก้ไขคำพิพากษาหรือคำสั่งได้หรือไม่ และถ้ามีข้อสงสัยในคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล จะยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลอธิบายให้แจ่มแจ้งจะกระทำได้หรือไม่
ช่วงนี้มีข่าวเกี่ยวกับการต่อสู้คดีระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา โดยประเทศกัมพูชาได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอตีความคำพิพากษาให้ชัดเจนเกี่ยวกับพื้นที่บริเวณใกล้เคียงกับเขาพระวิหาร รวมทั้งมีการยื่นเอกสารใหม่ประกอบการตีความสืบพยานในชั้นศาล เป็นที่สนใจของประชาชนเป็นอย่างมาก หลายคนสอบถามผมในฐานะเป็นทนายความมานานถึง 28 ปี ว่า ในประเทศไทยคดีที่ศาลพิพากษาแล้ว โดยเฉพาะคดีทางอาญาจะแก้ไขคำพิพากษาหรือคำสั่งได้หรือไม่ และถ้ามีข้อสงสัยในคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล จะยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลอธิบายให้แจ่มแจ้งจะกระทำได้หรือไม่
ผมเองเป็นแค่ทนายความคงไม่อาจเอื้อมไปตอบคำถามดังกล่าวได้ เป็นเรื่องของผู้พิพากษาที่จะให้คำตอบเหล่านี้ แต่เพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการของผู้อ่าน จึงได้ไปศึกษาหารายละเอียดจากปรมาจารย์ทางกฎหมาย ที่เป็นผู้เขียนหนังสือและสอนเกี่ยวกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาภาค 3 และภาค 4 ที่เนติบัณฑิตยสภา คือ ท่านอาจารย์ธานิศ เกศวพิทักษ์ ซึ่งท่านได้อธิบายหลักการดังกล่าวไว้อย่างน่าสนใจ จึงขออนุญาตนำมาเผยแพร่ให้ประชาชนได้ทราบเป็นรายประเด็นดังนี้
หลักเกณฑ์การแก้ไขคำพิพากษาหรือคำสั่ง
มาตรา 190 บัญญัติว่า ห้ามมิให้แก้ไขคำพิพากษาหรือคำสั่ง ซึ่งอ่านแล้วนอกจากแก้ถ้อยคำที่เขียนหรือพิมพ์ผิดพลาด
1.ศาลจะสั่งแก้ไขคำพิพากษาเป็นให้นับโทษต่อไม่ได้
คำพิพากษามิได้ระบุให้นับโทษต่อ ศาลจะมีคำสั่งแก้ไขคำพิพากษาเป็นให้นับโทษต่อไม่ได้ เพราะมิใช่เป็นเรื่องแก้ถ้อยคำที่เขียนหรือพิมพ์ผิดพลาด (คำพิพากษาฎีกาที่ 177/2484 เมื่อศาลพิพากษาให้นับโทษจำคุกจำเลยตั้งแต่วันต้องคุมขังไปแล้ว โจทก์จะยื่นคำร้องขอให้แก้เป็นให้นับโทษต่อจากคดีอื่นนั้นเป็นการแก้ไขคำพิพากษา ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ.มาตรา 190)
2.คำพิพากษาที่ผิดพลาดเป็นคุณแก่จำเลยจะแก้ไขให้เป็นผลร้ายแก่จำเลยไม่ได้ (คำพิพากษาฎีกาที่ 8102/2543, 1983/2544, 6397/2540, 571/2542)
3.คำพิพากษาผิดพลาดในชื่อของจำเลยย่อมแก้ไขให้ถูกต้องได้ (คำสั่งศาลฎีกาที่ 286/2541)
4.การเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมที่สั่งจำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ให้การปฏิเสธ เพื่อให้โจทก์ฟ้องเป็นคดีใหม่นั้น แม้เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องเข้ามาใหม่ ศาลกลับมีคำสั่งใหม่ให้โจทก์ไปฟ้องจำเลยต่อศาลที่มีเขตอำนาจ ไม่ถือว่าเป็นการแก้ไขคำสั่ง (คำพิพากษาฎีกาที่ 670/2514 ศาลชั้นต้นจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยนี้ ซึ่งให้การปฏิเสธโดยให้โจทก์แยกฟ้องเป็นคดีใหม่ เช่นนี้ถือไม่ได้ว่าคดีของจำเลยยังค้างพิจารณาอยู่ ต่อมาเมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ ปรากฏว่าศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษา เพราะจำเลยอยู่ในอำนาจของศาลเยาวชนและครอบครัว ซึ่งเปิดดำเนินการในจังหวัดนั้นแล้ว ศาลชั้นต้นจึงสั่งจำหน่ายคดีให้โจทก์ไปฟ้องจำเลยต่อศาลที่มีเขตอำนาจคำสั่งเช่นนี้ หาเป็นการแก้ไขคำสั่งเดิมไม่ เพราะคำสั่งเดิมของศาลชั้นต้นเพียงแต่สั่งให้โจทก์แยกฟ้องใหม่เท่านั้น ส่วนการที่โจทก์จะฟ้องยังศาลใดก็ต้องเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น)
5.หมายจำคุกผิดพลาดไม่ถูกต้อง ตาม ป.อ.มาตรา 90 (1) (2) (3) แก้ไขให้ถูกต้องได้ (คำพิพากษาฎีกาที่ 1365/2536, 3387/2534)
6.หากข้อความที่แก้ไขหรือเพิ่มเติมนั้นมิได้มีผลเป็นการกลับ หรือแก้คำวินิจฉัยในคำพิพากษาเดิมย่อมแก้ไขได้ (คำพิพากษาฎีกาที่ 1615/2536 คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์เห็นได้ว่า ประสงค์จะรอการลงโทษให้จำเลย แต่ไม่ปรากฏในคำบังคับของศาลอุทธรณ์ว่าให้รอการลงโทษจำเลย ข้อตกลงดังกล่าวเป็นเพราะความผิดหลง หรือเขียนคำบังคับผิดพลาดไป ซึ่งศาลอุทธรณ์ชอบที่จะแก้ไขให้ถูกต้องได้ เพราะ ป.วิ.อ.มาตรา 190 มิได้มีข้อห้ามไว้ว่า ถ้อยคำที่เขียนหรือพิมพ์ผิดพลาดข้อไหนแก้ได้หรือไม่ประการใด จึงน่าจะทำได้ทำนองเดียวหรือแก้คำวินิจฉัยในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ หากแต่แก้คำบังคับที่ผิดพลาดให้ถูกต้อง จึงย่อมทำได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 190)
7.การแก้ถ้อยคำที่เขียนหรือพิมพ์ผิดพลาดย่อมแก้ไขได้เสมอ แม้จะล่วงเลยกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ตามมาตรา 198 แล้ว (คำพิพากษาฎีกาที่ 4718/2533)
8.ศาลสูงมีอำนาจแก้ไขคำพิพากษาศาลล่างที่เขียนหรือพิมพ์ผิดพลาดได้เอง (คำพิพากษาฎีกาที่ 2525/2534)
9.กรณีกฎหมายบัญญัติเป็นพิเศษให้ศาลมีอำนาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลได้ (คำพิพากษาฎีกาที่ 212/2511)
หลักเกณฑ์การอธิบายข้อสงสัยในคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลมาตรา 191 บัญญัติว่า เมื่อเกิดสงสัยในการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง ถ้าบุคคลใดที่มีประโยชน์เกี่ยวข้องร้องต่อศาล ซึ่งพิพากษาหรือสั่งให้ศาลนั้นอธิบายให้แจ่มแจ้ง


