posttoday

แห่ซื้อทองรูปพรรณจนขาดตลาด

04 เมษายน 2556

นักลงทุนตื่นทองลง แห่ซื้อทองคำเก็งกำไรจนขาดตลาด ด้านหุ้นไทยเริ่มขาลง หลังต่างชาติเทขายหันมาซื้อตราสารหนี้

นักลงทุนตื่นทองลง แห่ซื้อทองคำเก็งกำไรจนขาดตลาด ด้านหุ้นไทยเริ่มขาลง หลังต่างชาติเทขายหันมาซื้อตราสารหนี้

ทองปรับตัวลงมานานเกือบ 4 เดือนแล้ว แต่ดูว่าจะยังไม่เพียงพอและยังคลำหาก้นเหวไม่พบ วันที่ 3 เม.ย.ที่ผ่านมา สมาคมค้าทองคำประกาศราคารับซื้อทองคำแท่งที่บาทละ 2.18 หมื่นบาท และขายออก 2.19 หมื่นบาท หลุดระดับ 2.2 หมื่นบาท ที่ค้ำยันมานาน ส่วนทองรูปพรรณรับซื้อที่ 21,481.72 บาท และขายออก 2.23 หมื่นบาท หลังจากทองคำในตลาดโลกรูดลงเกือบ 30 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์

“ธนรัชต์ พสวงศ์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส ราคาทองที่ลดลงแรงวันเดียวถึง 350 บาท ทำให้คนแห่มาซื้อทองกันจนแน่นร้าน แต่รอบนี้ทองคำแท่งได้รับความสนใจน้อยกว่าปีก่อนๆ ที่เวลาทองลงก็จะเข้าซื้อทองคำแท่งเพื่อเก็งกำไร

ลูกค้าส่วนใหญ่สนใจซื้อทองรูปพรรณจำนวนมาก ซึ่งเป็นมาตั้งแต่ต้นปีแล้ว จนทำให้ทองที่ทำโดยช่างฝีมือขาดตลาด บางร้านก็ขายหมด เหลือแต่ลายที่ทำด้วยเครื่อง เพราะเมื่อก่อนทองรูปพรรณขายไม่ดี ทำให้ช่างทองฝีมือดีออกไปจากตลาด และทองรูปพรรณแต่ละชิ้นจะต้องใช้เวลาในการทำนาน เมื่อมีความต้องการเข้ามามากก็ทำไม่ทัน

ส่วนนักลงทุนที่ต้องการซื้อทองคำแท่ง เพี่อเก็งกำไร “ธนรัชต์” แนะนำว่า ยังไม่แนะนำ เพราะทองที่ปรับตัวลงรอบนี้ ยังไม่มีโอกาสขึ้นแรงๆ แค่ตลาดเก็งกันว่าวันศุกร์ที่ 5 เม.ย. ที่กระทรวงแรงงานสหรัฐจะประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน มี.ค. จะออกมาดี ซึ่งเป็นข่าวร้ายสำหรับทอง ก็ทำให้คนชิงขายออกมาก่อนที่จะมีข่าวดีวันนั้น ทำให้ราคาร่วงลงไปถึง 1,565 เหรียญสหรัฐ ก่อนจะเด้งขึ้นมาเล็กน้อย

สำหรับคนที่ต้องการซื้อทองคำเพื่อออมในระยะยาว ก็แนะนำให้ใช้จังหวะนี้ทยอยซื้อ เพราะราคาทองคำลดลง และแนวโน้มเงินบาทแข็งค่า จะทำให้ราคาทองคำในประเทศขึ้นน้อยกว่าตลาดโลก และในระยะยาวก็ยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุน

แต่หากใครต้องการเก็งกำไรทองคำเพื่อหวังผลตอบแทน เชื่อว่าจะได้รับผลตอบแทนสู้สินทรัพย์อื่นๆ ไม่ได้

หุ้นอสังหาฯ เดี้ยงหนักสุด

ตลาดหุ้นไทยที่รูดลงแรง 30 จุด คิดเป็น 1.94 จุด หลังจากนักลงทุนต่างชาติกลับมาขายหุ้นไทย 1,968.97 ล้านบาท แต่กลับมาซื้อตราสารหนี้ไทยถึง 2,836 ล้านบาท

“ภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ” นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทยและประธานเจ้าหน้าที่ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยถึงเวลาปรับฐานหลังจากวิ่งแรงมามากเกินไปตั้งแต่ต้นปี เมื่อมีข่าวลบเข้ามากระทบก็ทำให้ดัชนีหุ้นเหวี่ยงแรง

หุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่พุ่งขึ้นแรงที่สุดเกือบ 40% นับตั้งแต่ต้นปี เมื่อมีข่าวเรื่องคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีความกังวลเรื่องภาวะฟองสบู่ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ก็มีแรงขายหุ้นในกลุ่มนี้ออกมามาก

ทั้งนี้ วันที่ 3 เม.ย. ดัชนีหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์รูดลงแรงกว่า 3.87% หรือ 13.33 จุด ปิดที่ระดับ 331.05 จุด เนื่องจากราคาหุ้นในกลุ่มทรุดลงเกือบยกแผง ยกเว้นหุ้นบริษัท แกรนด์ คาแนล แลนด์ และบริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน เพราะมีกระแสข่าวแพร่สะพัดในตลาดหุ้นว่า ธปท.อาจจะมีการปรับลดสัดส่วน Loan to Value (การให้สินเชื่อต่อมูลค่าทรัพย์สิน) หรือ LTV ซึ่งหากข่าวเป็นจริงก็อาจจะทำให้ยอด Presale ชะลอตัวลง และการกู้เงินก็อาจจะต้องมีต้นทุนที่สูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซีย พลัส ผู้คว้ารางวัลนักวิเคราะห์ยอดเยี่ยม สายนักลงทุนบุคคลในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ปี 2555 จากสมาคมนักวิเคราะห์ เมื่อเร็วๆ นี้ กลับไม่คิดว่าจะเกิดฟองสบู่ในธุรกิจนี้อย่างเช่นที่เกิดเมื่อปี 2540 เพราะทุกวันนี้ผู้ประกอบการมีบทเรียนและระมัดระวังในการลงทุนต่างจากอดีตที่มีการไปกู้เงินจากต่างประเทศมาซื้อที่ดิน ซื้อสินทรัพย์เสี่ยง หรือเรียกว่าลงทุนผิดประเภท เมื่อเศรษฐกิจมีปัญหา มีการเปลี่ยนแปลงค่าเงิน ทำให้หนี้บวมขึ้นจนทำให้สัดส่วนหนี้สินต่อทุนพุ่งเกิน 45 เท่า

สถานการณ์ปัจจุบัน ผู้ประกอบการไม่มีการสต๊อกที่ดิน เปิดโครงการไปซื้อที่ดินไป และไม่มีการกู้เงินจนเกินไป เห็นได้จากสัดส่วนหนี้ต่อทุนน้อยกว่า 1 เท่า ซึ่งถือว่ามีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งมาก

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ห่วงและต้องติดตามคือ ในฝั่งของผู้ซื้อว่าจะมีความสามารถในการกู้เงินหรือโอนสินค้าได้หรือไม่ หลังจากมีการก่อหนี้กันมากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่จะต้องระมัดระวังด้วย

ข่าวล่าสุด

SME D Bank จัด 'Culture Day' ขับเคลื่อนวัฒนธรรมองค์กร "ประสานพลัง-พัฒนาเรียนรู้" สู่การเติบโต