posttoday

กบฏแห่งสำนักงาน "The Rebel Office Man"

02 เมษายน 2556

“เคยได้ยินเรื่องการคิดนอกกรอบไหม”...น่าจะเคย แล้วคุณเคยเห็นตัวอย่างการทำงานนอกกรอบไหม...ผมว่ายากนะ ส่วนมากที่บอกนอกกรอบ คือ มันนอกคอก แล้วใกล้จะโดนไล่ออกจากงานเต็มที

“เคยได้ยินเรื่องการคิดนอกกรอบไหม”...น่าจะเคย แล้วคุณเคยเห็นตัวอย่างการทำงานนอกกรอบไหม...ผมว่ายากนะ ส่วนมากที่บอกนอกกรอบ คือ มันนอกคอก แล้วใกล้จะโดนไล่ออกจากงานเต็มที

สมัยนี้สิ่งต่างๆ รอบตัวมันยากขึ้น ไม่ใช่เฉพาะตัวเรา มันเริ่มจากบริษัท เนื่องจากระบบทุนนิยมที่เราอยู่ เขาให้ Reward หรือรางวัลให้กับคนที่ทำธุรกิจได้มีประสิทธิภาพมากที่สุด และก็ลงโทษคนที่ไร้ประสิทธิภาพ ซึ่งในปัจจุบันเราวัดในมิติของเงินอย่างเดียว คือ ใครทำสินค้าและบริการได้ตอบโจทย์ของตลาด ก็จะขายสินค้าและบริการได้กำไร

มาในฝั่งของ “เจ้าของ” มันมีอีกมิติที่หลายๆ คนไม่เข้าใจ การที่บริษัทบริษัทหนึ่งจะดำเนินธุรกิจก็ต้องมีเป้าหมาย ซึ่งแน่นอนทุกธุรกิจมีเป้าหมายหลักก็คือ ทำให้เจ้าของรวย และเดี๋ยวนี้พอมีตลาดหุ้น ก็มีการเอาความเป็นเจ้าของมาขายแล้วได้เงินล่วงหน้า นั่นเป็นจุดที่ทำให้ Concept ของหุ้นได้รับการยอมรับกว้างขวาง ถ้ามองอีกมุม หุ้นมันก็คือสร้างเงินจากอากาศ เพียงแต่มันต่างกันตรงที่อากาศในที่นี้มีกฎหมายรองรับความเป็นเจ้าของ...โอเค ธุรกิจมุ่งสร้างผลกำไรสูงสุด

คำถามต่อมา หากธุรกิจต้องการมีข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน คือ ให้สินค้าและบริการของตัวเองขายให้ได้มากๆ จะต้องทำอย่างไร

ถ้าเป็นในอดีต การจะทำให้ขายสินค้าได้มากก็คงต้องทำโฆษณา แต่พอมาในปัจจุบัน หากผมจะบอกว่า ทุกธุรกิจไม่ได้มีเงินเหลือมากพอที่จะโฆษณา แถมที่ร้ายกว่านั้นคือ การโฆษณาในปัจจุบันมีผลแย่ลงเรื่อยๆ คือ เสียเงินเปล่าประโยชน์ แถมคนก็ไม่ค่อยสนใจ

ทางแก้...“แก้ยังไง” เดี๋ยวนี้ผู้นำความคิดบางคน แทนที่จะโฆษณาก็เปลี่ยนเป็นเอาเงินมาทุ่มให้กับการสร้างสินค้าและบริการให้ดีที่สุดอย่าง Apple ผลก็คือ ลูกค้ากลายเป็นคนโฆษณาและบอกต่อสินค้ากันเอง... “ที่ว่ามามันคือการคิดต่าง แล้วอะไรล่ะที่เรียกว่า คิดต่างในที่ทำงาน”

อันนี้ถือว่าแชร์กัน ผมมองว่า อย่างแรกเราต้องมามองก่อนว่า “หน้าที่ที่เราทำอยู่มันทดแทนได้ไหม” บอกตามตรงหน้าที่กว่า 99% ในสำนักงานมันหาคนแทนได้หมด นั่นแปลว่า คุณเองไม่ได้มีคุณค่าหรือ Value พิเศษอะไรเลย ถ้าคุณวิเคราะห์แล้วเป็นเช่นนี้ จงเตรียมใจกับตัวเองได้เลยว่า โอกาสรุ่งของคุณแทบไม่มี เงินเดือนคุณก็น่าจะกลางๆ ก็เพราะหน้าที่คุณมันทั่วไป ใครๆ ก็แทนคุณได้

ฮึม!! แล้วทางแก้... จริงๆ ก็ไม่ยาก มันต้องมาหาว่าตัวเราชอบทำและทำอะไรได้ดี ตรงนั้นแหละจุดเริ่ม เพราะจากจุดนั้นคุณต้องพัฒนาตัวเองให้สุดๆ ในสิ่งที่คุณถนัดและทำได้ดี จนผลงานของคุณโดดเด่น และถ้าประกอบกับยุค Social Network หากคุณทำได้ดี เดี๋ยวจะมีคนเอาผลงานคุณไปบอกต่อในวงกว้าง

สมัยนี้การรู้จักใช้ Social Network อย่าง Blog, Facebook, Instagram สิ่งต่างๆ เหล่านี้ หากเราสามารถเลือกใช้ให้เหมาะสมจะสร้างประโยชน์ให้กับผู้ใช้มหาศาล ยกตัวอย่างวันนี้ การโฆษณามันให้ประสิทธิภาพแย่ลง แต่สิ่งที่ให้ประสิทธิภาพมากขึ้นกลายเป็น Free Media หรือ Social Media เหล่านี้ ทว่ามันไม่ได้ง่ายเหมือนในยุคโฆษณา คิดง่ายๆ ก็จะเข้าใจเลยว่า เดิมทีการโฆษณามันเป็นสื่อที่เราควบคุมได้หมด ใช้เพียงเงิน ดังนั้นทำให้ตลกหรือคนชอบก็พอแล้ว แต่ปัจจุบันไม่ใช่ มันเป็น “สื่อกลับหัว 360 องศา” เพราะวันนี้ Social Media มันให้อำนาจของผู้ใช้หรือผู้เสพ เป็นคนกำหนดว่าเขาต้องการเลือกที่จะรับอะไร ดังนั้นเดี๋ยวนี้มันไม่ใช่แค่สร้างสินค้าและบริการที่ดี แต่สื่อที่ใช้ก็ต้องเป็นสื่อที่มีคุณภาพ เป็นหลักการของการช่วยลูกค้าเอาจุดแข็งของเราไปกระจายต่อนั่นเอง... ใช่!!! ยุคนี้การสื่อสารและการจินตนาการแบบสร้างสรรค์มันเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ

วันนี้ไม่สายหรอกครับ ที่คุณจะเริ่มสำรวจตัวเองว่า สิ่งที่คุณทำอยู่มันมีความหมายต่อองค์กรมากน้อยเพียงใด และหน้าที่ของคุณมีใครมาแทนได้ไหม... กลับมาที่ประเด็นที่ผมเคยยกเอาไว้คือ หนึ่ง Trust เรื่องนี้ต้องสร้างเอง สอง Connection อันนี้อาจได้จากครอบครัวบ้าง แต่สุดท้ายเขาจะให้โอกาสเราแค่ไหน อยู่ที่เราเองเป็นส่วนใหญ่ และสุดท้าย Wow Factor ก็คือต้องสร้างความประหลาดใจ

ครับ...ที่พูดมายาวๆ ก็เพียงจะบอกว่า สิ่งสำคัญที่จะทำให้คนคนหนึ่งสำเร็จและแตกต่างจากคนธรรมดาๆ ทั่วไป ก็คือการสร้างความแตกต่างในจุดที่คุณชอบ ทำได้ดี และอดทนทำได้นานพอที่จะให้ใครไว้วางใจ จากนั้นโอกาสและการต่อยอดก็จะมาถึง... “แล้วคุณล่ะ คุณมีความเข้าใจในงานและอดทนเพียงพอหรือยัง”

ข่าวล่าสุด

วปอ.68 มอบตาข่ายป้องกันโดรน ทิ้งระเบิด และสิ่งของ ช่วยทหารชายแดนภาค 2