นันยางปั้นแบรนด์ลุยอาเซียนก้าวสู่ 7 ทศวรรษแตกไลน์รองเท้า
กว่า 60 ปี สำหรับตระกูลซอโสตถิกุล กับธุรกิจรองเท้าใบผ้านันยาง
กว่า 60 ปี สำหรับตระกูลซอโสตถิกุล กับธุรกิจรองเท้าใบผ้านันยาง ที่สร้างตำนานนักเรียนจากรุ่นสู่รุ่น โดยปีนี้จะกำลังก้าวสู่ 7 ทศวรรษ จากผู้บริหารรุ่นหลาน หรือ เจเนอเรชันที่ 3 เพื่อสานต่อธุรกิจแตกไลน์รองเท้านันยางสู่ตลาดใหม่ๆ และการสยายปีกบุกตลาดต่างประเทศ
ชัยพัชร์ ซอโสตถิกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท นันยางอุตสาหกรรม ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรองเท้านันยาง เปิดเผยว่า แผนธุรกิจนันยางเพื่อก้าวอีก 1 ทศวรรษ หรือปี 2556-2566 ของเจเนอเรชัน 3 ตระกูลซอโสตถิกุล โดยวางเป้าหมายนันยาง ให้ครองแชมป์รองเท้าผ้าใบนักเรียนไทยอย่างต่อเนื่อง รวมถึงขยายตลาดต่างประเทศหรือเอเชีย เพิ่มจาก 10% เป็น 25% ในอีก 35 ปีข้างหน้า
ทั้งนี้ บริษัทแตกไลน์รองเท้าฟังก์ชันต่างๆ ที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายหลากหลาย แต่ต้องมุ่งพัฒนาและค้นคว้า เพราะนโยบายของเจเนอเรชัน 1 ต้องการให้บริษัทก้าวช้าๆ แต่มั่นคงและธุรกิจต้องอยู่ได้ จากปัจจุบันนันยางทำตลาดรองเท้า 60 ปี เป็น รองเท้าผ้าใบนักเรียน 56-70% ส่วนอีก 30-44% เป็นรองเท้าแตะช้างดาว
อย่างไรก็ตามในปีนี้จะลงทุน 100 ล้านบาท เพิ่มกำลังผลิต 20% จากปัจจุบันมีกำลังผลิตรองเท้า 20 ล้านคู่ต่อปี รองรับแผนขยายตลาดในประเทศและอาเซียน ซึ่งจะส่งออกรองเท้าแตะช้างดาวทำตลาดในเชิงรุก ส่วนในไทยมุ่งขยายฐานลูกค้ากลุ่มเด็กประถม 59 ปี ซึ่งเป็นตลาดใหญ่สัดส่วน 3040% เพื่อต่อยอดนันยางซึ่งเป็นแบรนด์แข็งแกร่งกลุ่มเด็กมัธยม
จักรพล จันทวิมล ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท นันยางอุตสาหกรรม กล่าวว่า เพื่อต้อนรับช่วงเปิดเทอม จะเปิดตัวรองเท้าเด็กประถม รุ่นนันยาง แฮฟ ฟัน พัฒนาให้มีน้ำหนักเบา แนวคิด เบา กระชับ นุ่ม และขยายฐานลูกค้ากลุ่มผู้หญิงเพิ่มขึ้น โดยปีนี้ใช้งบตลาด 60 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40% จากเดิมใช้ 50 ล้านบาท
ขณะที่กลยุทธ์การสื่อสารรองเท้านันยาง ที่เป็นกุญแจแห่งความสำเร็จ ทำให้เป็นผู้นำมีส่วนแบ่ง 40% คือ การเป็นรองเท้าที่ใช้ยางพาราธรรมชาติแท้ 100% แบรนด์เดียวในเอเชียแปซิฟิก ซึ่งเป็นจุดที่แข็งแกร่งของนันยาง โดยสามารถรองรับการเดินได้ 1 ล้านก้าว และสื่อสารที่โดนใจภายใต้แนวคิด “ทุกก้าวของนันยางเป็นตำนานตลอดไป”
อีกทั้งปีนี้บริษัทให้ความสำคัญการใช้โซเชียลมีเดียสื่อสารแบรนด์ยิ่งขึ้น ทางเฟซบุ๊ก ยูทูบ และอินสตาแกรม เพิ่มงบการตลาดจาก 1% เป็น 10-15% เพื่อทำให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอายุต่ำกว่า 18 ปี และจากการรุกการสื่อสารครั้งนี้จะทำให้จำนวนแฟนเพจของนันยางเพิ่มจาก 1.8 แสนคน เป็น 2.5 แสนคน
สำหรับช่องทางจำหน่ายนั้น บริษัทเพิ่มศักยภาพตัวแทนจำหน่ายที่มีอยู่ 60-70 รายทั่วประเทศ โดยจะเน้นร้านค้าปลีกดั้งเดิมสัดส่วน 70% และอีก 30% เป็นโมเดิร์นเทรด ซึ่งปีนี้บริษัทไม่ได้ปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้น แม้ว่าต้นทุนการผลิตจะปรับเพิ่มขึ้น จากผลการปรับค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท จำหน่าย 285-335 บาท ช่วงเปิดเทอมตั้งเป้าโต 12%
“ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น เป็นความท้าทายของผู้ดำเนินธุรกิจรองเท้า แต่ที่ผ่านมาบริษัทเพิ่มประสิทธิภาพแรงงานให้มีทักษะการผลิต ลดการสูญเสียการผลิตลง”
ปัจจุบันตลาดรองเท้านักเรียนมีมูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท/ปี โดยปีนี้คาดว่าจะมีอัตราเติบโต 10% เท่ากับปีที่ผ่านมา จากปกติโตเฉลี่ย 56% สำหรับปัจจัยที่ทำให้ตลาดเติบโตมาจากภาวะเศรษฐกิจปีนี้ขยายตัว พ่อแม่ผู้ปกครองมีกำลังซื้อดีขึ้น โดยตลาดแบ่งเป็น รองเท้าผ้าใบนักเรียน 3,000 ล้านบาท หรือ 61% และรองเท้านักเรียนหนังดำ 38%
จักรพล กล่าวว่า การรักษาแชมป์ เป็นภารกิจท้าทายสำหรับเจเนอเรชัน 3 ที่เข้ามาทำธุรกิจรองเท้านันยาง 4 คน โดยบริหารงานด้านผลิต 2 คน และการตลาด 2 คน สำหรับนันยางเป็นธุรกิจรุ่นปู่ย่าเดินทางจากจีนเข้ามาก่อร่างสร้างตัวด้วยการผลิตรองเท้า
กระทั่งเติบโตเป็นซีคอน กรุ๊ป มีธุรกิจ 4 กลุ่ม ได้แก่ 1.ซีคอน สแควร์ สร้างรายได้อันดับ 1 และ 2.นันยาง 3.ซีคอนโฮม 4.ไทยชูรส ตราชฎา สำหรับรายได้กลุ่มนันยางปีนี้โต 12% ส่วนปีที่ผ่านมา โต 10% โดยปัจจุบันเป็นผู้นำตลาดรองเท้าผ้าใบนักเรียน มีส่วนแบ่ง 40% ทิ้งห่างจากเบอร์ 2 มีส่วนแบ่ง 25-30%
“ตลอดระยะเวลา 60 ปีที่ผ่านมา โรงงานนันยางได้ผลิตรองเท้ามาแล้วกว่า 300 ล้านคู่ การรักษาคุณภาพ ถือเป็นเคล็ดลับแห่งความสำเร็จ ในอดีตผลิตรองเท้าผ้าใบได้ไม่กี่ร้อยคู่บรรจุในถุงกระดาษ จนถึงวันนี้ขยายโรงงานและเพิ่มกำลังผลิตต่อเนื่อง” จักรพล กล่าว


