GLOW อนาคตไกลแต่ราคาแพง

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ธนชาต ปรับลดประมาณการกำไรปกติ ปี 2556 บริษัท โกลว์ พลังงาน (GLOW) เนื่องจากการดำเนินงานที่สะดุดของบริษัท เก็คโค่วัน (GHECO-1) แต่ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายขึ้นราว 3 บาท/หุ้น เพื่อสะท้อนโครงการพลังงานลม กำลังการผลิต 50 เมกะวัตต์ และค่าไฟฟ้าผันแปร (เอฟที) ที่คาดว่าจะถูกปรับขึ้น

บล.ธนชาต ปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย SoTP ของ GLOW ขึ้นราว 3 บาท/หุ้น สะท้อนการรวมโครงการพลังงานลม กำลังการผลิต 50 เมกะวัตต์ ที่คาดว่าจะได้ และสมมติฐานค่าเอฟทีที่สูงขึ้น 2% หลังปี 2556

GLOW ซื้อขายที่มูลค่ายุติธรรมแล้ว และปรับส่วนแบ่งกำไรของ GHECO-1 ซึ่ง GLOW ถือหุ้น 65% ลงอีกครั้งตามที่ผู้บริหารแนะนำ แต่ยังคงคาดว่า GHECO-1 เป็นปัจจัยหลักขับเคลื่อนกำไรในปี 2556-2557 รวมถึงอัตราการดำเนินงานของเฟส 5 ที่คาดว่าจะสูงขึ้น

ทั้งนี้ คาดว่า GLOW จะมีกำไรปกติที่เติบโตดีที่ 54% ในปี 2556 เทียบกับคู่แข่งรายใหญ่ในกลุ่มสาธารณูปโภคที่คาดว่าจะเติบโต 9-11%

“เราเชื่อว่าการเก็งกำไรผลการประมูลโครงการโรงไฟฟ้าอิสระ (ไอพีพี) น่าจะช่วยผลักดันบริษัทพลังงานไฟฟ้าขนาดใหญ่ในช่วงครึ่งแรก ปี 2556 รวมถึง GLOW ปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย สะท้อนโครงการพลังงานลม 50 เมกะวัตต์ จึงได้รวมมูลค่า 1.20 บาท/หุ้น GLOW สะท้อนมูลค่าของโครงการพลังงานลม กำลังการผลิต 50 เมกะวัตต์ ภายใต้สมมติฐานต้นทุนการก่อสร้าง 2.5 เหรียญสหรัฐต่อเมกะวัตต์ อัตราดอกเบี้ย 6.2% และ COD ในปี 2559 GLOW มีแผนที่จะถือหุ้นในโครงการน้อยกว่า 50% ซึ่งโครงการนี้อยู่ภายใต้โครงการพลังงานทดแทน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลด้วยเงินอุดหนุน หรือ adder 3.50 บาท/หน่วย โดยมีจุดมุ่งหมายให้ประเทศไทยผลิตไฟฟ้าพลังงานลม กำลังการผลิต 1,200 เมกะวัตต์ ภายในปี 2566

ปัจจุบัน GLOW กำลังรอการอนุมัติโครงการจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การดำเนินงานของ GHECO1 ยังคงไม่ราบรื่น GLOW คาดว่า GHECO-1 อาจจะลดการผลิตลง 30 วัน นอกเหนือไปจากการปิดโรงไฟฟ้าตามแผน 47 วัน ในเดือน พ.ค.มิ.ย. เนื่องจากความซับซ้อนของการดำเนินงานโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน GHECO-1 จะไม่รับผิดชอบต่อค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุงนี้ เนื่องจากการปิดโรงไฟฟ้าตามแผนนี้อยู่ในระยะเวลาการรับประกัน

อย่างไรก็ตาม คาดว่าการลดการผลิตจะทำให้สูญเสียรายได้ค่า AP 15-16 ล้านบาทต่อวัน

“เราปรับลดประมาณการกำไรปกติ ปี 2556 ของ GLOW ลงสำหรับ GHECO1 อีกครั้งราว 5% อิงประมาณการที่คาดว่าโรงไฟฟ้าจะสร้างกำไรให้ราว 4,000 ล้านบาทต่อปี การปรับขึ้นค่าเอฟทีน่าจะล่าช้าออกไป คาดว่าการขาดแคลนก๊าซธรรมชาติชั่วคราว เนื่องจากการปิดซ่อมบำรุงท่อส่งก๊าซของ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP ตามแผนเป็นเวลา 10 วัน เริ่มจากวันที่ 5 เม.ย. น่าจะทำให้โรงไฟฟ้าของ กฟผ. และโรงไฟฟ้าอิสระต้องผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานอื่นๆ แทน (เช่น น้ำมันเตา ดีเซล และพลังงานน้ำ) เนื่องจากราคาดีเซล และน้ำมันเตาที่สูงกว่ามาก ค่าไฟฟ้าจึงน่าจะเพิ่มขึ้น ผ่านทางการเพิ่มขึ้นของค่า เอฟที แต่เราเชื่อว่ารัฐบาลน่าจะชะลอการเพิ่มขึ้นของค่า เอฟที และการปรับขึ้นในอนาคต เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่พอใจของประชาชน เนื่องจากรัฐบาลกำลังพิจารณาการปรับขึ้นราคา แอลพีจี สำหรับภาคครัวเรือนและภาคขนส่ง เพื่อให้สอดคล้องกับราคาในภูมิภาคที่สูงกว่า ซึ่งเตรียมไว้สำหรับการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเชียน (เออีซี)