แนะวิเคราะห์ตลาดพม่าให้ลึกก่อนลงทุน

เตือนธุรกิจเล็กลงทุนพม่าแนะธุรกิจรายย่อย วิเคราะห์ลึกตลาดก่อนเข้าพม่าลดเสี่ยงถูกยึดที่ดิน

นายวิชิต อู่อ้น คณบดีวิทยาลัยบัณฑิตศึกษา ด้านการจัดการ มหาวิทยาลัยศรีปทุม และประธานกรรมการบริษัทดอลล่าร์ริช ผู้ให้คำปรึกษากลยุทธ์ธุรกิจองค์กร เปิดเผยว่า ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี)ที่ต้องการทำตลาดสินค้าบริการไปยังสหภาพพม่าจะต้องศึกษาบรรยากาศการลงทุนอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะข้อกฎหมายที่เปลี่ยนบ่อยครั้ง ปัจจุบันภาพรวมการเมืองพม่ายังไม่เสถียรมากนัก ซึ่งมีความเสี่ยงสูงในการทำธุรกิจระยะยาว โดยเฉพาะด้านกฎหมายการลงทุนธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการท้องถิ่นในประเทศและนักลงทุนต่างชาติ เช่น การถือครองที่ดิน เพราะในช่วงที่ผ่านมามีการไล่เวนคืนที่ดินกลับไปเป็นของรัฐบาลจำนวนมาก

สำหรับรูปแบบการทำตลาดในประเทศพม่าที่เหมาะสมกับเอสเอ็มอีไทยจะขึ้นอยู่กับขนาด หรือลักษณะสินค้าบริการ เช่น หากเป็นธุรกิจขนาดเล็ก เบื้องต้นอาจเป็นไปในลักษณะการทำตลาดนำเข้าหรือส่งออก เพื่อศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคในตลาดก่อน และหากเป็นธุรกิจขนาดกลางใหญ่ควรเข้าไปในลักษณะพันธมิตรร่วมทุน

“นอกจากปัญหาการเมืองในพม่าที่ยังไม่นิ่งแล้ว ยังมีเรื่องของสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานต่างๆด้วย ซึ่งการได้พันธมิตรที่แข็งแกร่งในตลาดประเทศนี้ จะช่วยทำให้ธุรกิจสินค้าหรือบริการของไทยเข้าตลาดได้ง่ายขึ้น จากปัจจุบันผู้บริโภคในพม่าให้การยอมรับสินค้าจากไทยเป็นอย่างดีอยู่แล้ว” นายวิชิต กล่าว

ด้านนางสิริน เลิศวรปรีชา กรรมการผู้จัดการ บริษัทดีกรีไลท์ติ้งสโตร์ ผู้ดำเนินธุรกิจบริการรับทำตามสั่ง(เมด ทู ออเดอร์)สินค้าส่องสว่าง โคมไฟ ฯลฯ กล่าวว่า บริษัทร่วมกับพันธมิตรธุรกิจท้องถิ่นที่ใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 3 ของประเทศพม่า คือ กลุ่มเอ็มเค กรุ๊ป เพื่อขยายการทำตลาดธุรกิจในพม่า ภายใต้รูปแบบกิจการร่วมทุนเพื่อดำเนินธุรกิจและทำตลาดสินค้าอุปกรณ์ส่องสว่างร่วมกัน

นอกจากนี้ บริษัทยังวางแผนระยะสั้นภายใน 3 ปีนับจากนี้จะสามารถเปิดให้บริการ ร้านจำหน่ายสินค้ากลุ่มอปุกรณ์ส่องสว่างประเภทต่างๆภายใต้ชื่อ “ดีกรีไลท์ติ้ง สโตร์” เพิ่มอีก 2 สาขา คาดจะเป็นในทำเลเมืองหลวงเนปิดอว์ และเมืองมัณฑะเลย์ ซึ่งเป็นเมืองเศรษฐกิจที่มีอัตราการเติบโตสูงของพม่าในขณะนี้ จากปัจจุบันบริษัทเปิดร้านดังกล่าว 1 แห่งที่เมืองย่างกุ้ง

“ผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอี ที่สนใจเข้าไปทำตลาดในพม่าจะต้องคำนึงถึง 3 ส่วนหลักสำคัญประกอบกัน คือ 1. ความพร้อมขององค์กรหรือกิจการรอบด้าน, 2.พันธมิตรที่แข็งแกร่ง และรู้จักตลาดและผู้บริโภคเป็นอย่างดี และ3.วิสัยทัศน์ของผู้บริหารองค์กร ที่ต้องมองความต้องการของตลาดให้ออก” นางสิริน กล่าว

ทั้งนี้ จากประสบการณ์การทำตลาดอุปกรณ์อย่างจริงจังในช่วง1ปีที่ผ่านมา ซึ่งหากวิเคราะห์ธุรกิจบริษัทร่วมกับตลาดประเทศดังกล่าว พบว่ามีจุดแข็งในเรื่องคู่แข่งที่ยังมีน้อยรายในตลาด ส่วนจุดอ่อน คือ ความไม่เสถียรทางการเมือง และอื่นๆจากการที่เป็นประเทศเปิดใหม่ แต่ยังมีโอกาสในการทำตลาดจากกำลังซื้ออย่างต่อเนื่อง ส่วนปัญหาอุปสรรคจะเป็นเรื่องปัจจัยภายที่นอกเหนือการควบคุม เช่น เศรษฐกิจโลก และการเมือง เป็นต้น