เนสเล่บุกโมเดลธุรกิจร้านค้าไอศรีมหวังโต5-10%
เนสท์เล่ไอศกรีม ชักธงรบส่งแพกเกจ 4,000 บาท เป็นเจ้าของธุรกิจไอศกรีม หวังยึดหัวหาดร้านค้ากว่า 2 แสนแห่งทั่วประเทศ มั่นใจปีนี้รายได้บริษัทโต 5-10% มากกว่าตลาดรวมโตแค่ 3%
เนสท์เล่ไอศกรีม ชักธงรบส่งแพกเกจ 4,000 บาท เป็นเจ้าของธุรกิจไอศกรีม หวังยึดหัวหาดร้านค้ากว่า 2 แสนแห่งทั่วประเทศ มั่นใจปีนี้รายได้บริษัทโต 5-10% มากกว่าตลาดรวมโตแค่ 3%
นายสรพงษ์ จันทร์นฤกุล ผู้จัดการฝ่ายขายและจัดจำหน่าย เนสท์เล่ไอศกรีม บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) เปิดเผยว่า ปีนี้เป็นปีแรกที่บริษัทเปิดโมเดลการลงทุนทำธุรกิจขายไอศกรีมเนสท์เล่ด้วยงบเริ่มต้น 4,000 บาท ซึ่งภายใต้แพจเกจดังกล่าวผู้ลงทุนจะได้รับตู้แช่ไอศกรีมไปใช้ฟรีในรูปแบบการเช่าใช้ และได้รับอุปกรณ์ในการตกแต่งร้านค้า เช่น ธงราว สติ๊กเกอร์ ป้ายราคา ร่มสนาม รวมมูลค่าทั้งสิ้น 3 หมื่นบาท โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
สำหรับ เงินลงทุนเบื้องต้น 4,000 บาท นั้นเป็นค่าสินค้าไอศกรีม และผู้ลงทุนจะได้กำไรเบื้องต้น 25% ของการลงทุน หรือคิดเป็นเงิน 1,000 บาท โดยบริษัทได้เริ่มเปิดตัวแพจเกจดังกล่าวมาตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา และ 3 เดือนที่ผ่านมา บริษัทมีผู้เข้ามาติดต่อลงทุนแล้วกว่า 1,000 ราย ซึ่งบริษัทตั้งเป้าผู้สนใจประกอบการค้าไอศรีมในช่วงครึ่งปีแรกไว้ที่ 2,000 ราย จนถึงขณะนี้บริษัทพบว่าได้รับการตอบรับที่ดี จึงคาดหมายได้ว่าเป้าหมายที่วางไว้จะบรรลุเป้าหมายอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ การเปิดตัวแพจเกจโมเดลธุรกิจร้านค้าไอศรีมในครั้งนี้ บริษัทวางเป้าไปที่ผู้ประกอบการค้าขายของชำ หรือโชว์ห่วย มินิมาร์ท หรือผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกเป็นหลัก เนื่องจากมีร้านค้าดังกล่าวในประเทศไทยกว่า 2 แสนราย จึงเป็นช่องทางการจัดจำหน่ายไอศกรีมที่มีโอกาสเติบโตสูง และยังเป็นช่องทางที่จะนำสินค้าไปถึงตัวผู้บริโภคได้โดยตรง
นอกจากนี้ บริษัทยังเพิ่มกลุ่มเป้าหมายไปยังร้านค้าประเภทอื่นๆ นอกจากร้านค้าปลีกทั่วไปแล้ว เช่น ร้านทำผม สปอร์ตคลับ สนามฟุตซอล โรงเรียนกวดวิชา ห้องอาหาร เป็นต้น โดยแผนการดำเนินงานในครั้งนี้จะทำให้บริษัทมีตู้แช่จำหน่ายไอศกรีมกระจายไปทั่วทุกชุมชน ทุกภูมิภาคในประเทศไทยอย่างครอบคลุมและทั่วถึง
“จากแผนการดำเนินการดังกล่าว บริษัทตั้งเป้าเติบโตทางด้านรายได้ของบริษัทไว้ที่ 5 – 10% ในขณะที่ตลาดรวมไอศกรีมในปัจจุบันมีมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยในปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตเพียง 3% อันเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจเป็นหลัก และในปีนี้ก็คาดหมายได้ว่าตลาดจะไม่เติบโตมากมายนัก คาดว่าจะเติบโตใกล้เคียงปีที่ผ่านมาที่ 3% หรือเติบโตสูงสุดไม่เกิน 5%” นายสรพงษ์ กล่าวเพิ่มเติม
นอกจากนี้ แผนการดังกล่าวบริษัทคาดว่าจะช่วยเพิ่มจุดจำหน่าย และยอดขายให้บริษัทเติบโต จนมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่บริษัทมีส่วนตลาดอยู่ราว 35%


