posttoday

ปั้น"สิงห์ปาร์ค แลนด์มาร์ก" เที่ยวเชิงเกษตร-นิเวศเมืองไทย

22 มกราคม 2556

จากจุดเริ่มของการทดลองข้าวบาร์เลย์เพื่อผลิตเป็นวัตถุดิบป้อนอุตสาหกรรมเบียร์ อันเป็นขาธุรกิจหลักของกลุ่มบุญรอดบริวเวอรี่ ในปี 2526 จนถึงวันนี้ไร่บุญรอด หรือในชื่อใหม่ “สิงห์ปาร์ค เชียงราย” พร้อมเข้าสู่ธุรกิจท่องเที่ยวเชิงเกษตรนิเวศอย่างเต็มตัว

จากจุดเริ่มของการทดลองข้าวบาร์เลย์เพื่อผลิตเป็นวัตถุดิบป้อนอุตสาหกรรมเบียร์ อันเป็นขาธุรกิจหลักของกลุ่มบุญรอดบริวเวอรี่ ในปี 2526 จนถึงวันนี้ไร่บุญรอด หรือในชื่อใหม่ “สิงห์ปาร์ค เชียงราย” พร้อมเข้าสู่ธุรกิจท่องเที่ยวเชิงเกษตรนิเวศอย่างเต็มตัว

“คุณสันติ ภิรมย์ภักดี กรรมการและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ วางเป้าหมายที่จะให้สิงห์ปาร์ค เชียงราย เป็นแลนด์มาร์กของแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร นิเวศของเมืองไทย และที่สำคัญคือ ต้องอยู่ร่วมกันได้ทั้งธรรมชาติ เกษตร และชุมชน” อิทธิกร บรรจบดี ผู้จัดการประจำสำนักกรรมการจัดการใหญ่ บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น กล่าว

ที่สำคัญคือ ปัจจุบันใน จ.เชียงราย หรือภาคเหนือ และแม้แต่ในประเทศไทย ยังไม่มีแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรนิเวศขนาดใหญ่ และมีความพร้อมเท่าสิงห์ปาร์ค เชียงราย จึงมีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะก้าวขึ้นสู่เป้าหมายดังกล่าวในเวลาอันใกล้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ที่จะส่งผลดีต่อธุรกิจท่องเที่ยวของไทยแน่นอน

หลังจากทดลองปลูกข้าวบาร์เลย์แล้ว พบว่าสภาพอากาศไม่เย็นมากพอ ทำให้คุณภาพผลผลิตที่ออกมาไม่สอดคล้องกับมาตรฐานการผลิตที่ต้องการ จึงปลูกพืชผลชนิดอื่นๆ แทน อาทิ ชา มะเฟือง พุทรา ไม้ยืนต้น ฯลฯ

ปัจจุบันจากพื้นที่กว่า 8,600 ไร่ของสิงห์ปาร์ค เชียงราย ใช้สำหรับเพาะปลูกแล้วเกือบ 4,000 ไร่ ได้แก่ ชา 600 ไร่ รวม 3 แปลง ยางพารา 2,600-2,700 ไร่ ที่เหลือเป็นพุทรากว่า 100 ไร่ มะเฟืองยักษ์ สตรอเบอร์รี เมลอน มะเขือเทศราชินี และไม้เนื้อแข็งประเภทต่างๆ เป็นต้น

สำหรับผลผลิตที่ได้ปัจจุบันนำมาจำหน่ายด้านหน้าไร่ และจะพัฒนาเป็นอุตสาหกรรมเกษตรทั้งสดและแปรรูป เช่น ผลไม้อบแห้ง น้ำผลไม้ ซึ่งปัจจุบันมีจำหน่ายอยู่แล้ว แต่จะเริ่มขยายช่องทางจำหน่ายมากขึ้น โดยล่าสุดเริ่มส่งพุทราสดมาจำหน่ายที่กรุงเทพฯ เข้าร้านวิลล่า มาร์เก็ตแห่งแรก เริ่มล็อตแรก 200 กิโลกรัม เมื่อต้นปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ยังได้ปรับโครงสร้างองค์กร โดยจากเดิมที่เป็นชื่อไร่บุญรอด ซึ่งเป็นธุรกิจในเครือบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ บริษัทแม่ ปัจจุบันตั้งบริษัทใหม่คือ บุญรอดฟาร์ม เพื่อดูแลธุรกิจอุตสาหกรรมการเกษตร พร้อมเปลี่ยนชื่อไร่บุญรอด เป็นสิงห์ปาร์ค เชียงราย เมื่อปลายปี 2555 ที่ผ่านมา เพื่อรองรับแผนขยายธุรกิจในอนาคต

ก้าวรุกสำคัญของสิงห์ปาร์ค เชียงราย จะเริ่มนับแต่ปีนี้เป็นต้นไป โดยปีนี้จะลงทุนไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท แบ่งเป็น 100 ล้านบาท สำหรับสร้างพูลวิลลาระดับ 5 ดาว เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ประมาณ 20 หลัง เน้นนักท่องเที่ยวระดับบน จากนั้นในอนาคตจะขยายที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวระดับกลางต่อไป รวมถึงลานกางเต็นท์สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสธรรมชาติ เพื่อสิงห์ปาร์ค เชียงราย เป็นสถานที่ที่ใครๆ ก็เข้ามาสัมผัสได้

สำหรับงบอีก 100 ล้านบาท ในปีนี้จะขยายพื้นที่เพาะปลูกผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรเพื่อรองรับแผนต่อยอดเชิงพาณิชย์ เช่น พุทรา สตรอเบอร์รี มะเฟือง เมลอน รวมทั้งเสริมสวนเรียนรู้ทางการเกษตร แหล่งความรู้เรื่องชา หรือทีเฮาส์ ขยายร้านอาหารภูภิรมย์ให้รองรับลูกค้าจากปัจจุบัน 120 ที่นั่ง เป็นเกือบ 300 ที่นั่ง รวมทั้งจัดทำปั๊มแทร็ก หรือลานสำหรับขี่จักรยาน เป็นต้น โดยมีกิจกรรมใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ คือ เป็นหนึ่งในสนามการแข่งขันจักรยานเสือภูเขาประจำปี “สิงห์ เมาน์เทนไบค์ ไทยแลนด์ โอเพน 2013” ที่สิงห์ให้การสนับสนุนต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 15 แล้ว

ขณะเดียวกันจะต่อยอดธุรกิจเกษตรเชิงพาณิชย์ด้วยการเข้าสู่อุตสาหกรรมแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรมากขึ้น อาทิ แยม น้ำลูกหม่อน หรือน้ำมัลเบอร์รี น้ำเสาวรส น้ำลิ้นจี่ และจะขยายเข้าช่องทางอื่นๆ เพิ่มเติมนอกเหนือจากจำหน่ายที่ไร่บุญรอด

ปัจจุบันรายได้ของสิงห์ปาร์ค เชียงราย อยู่ที่ปีละประมาณ 100 ล้านบาท โดย 80% มาจากการจำหน่ายชาไปยังต่างประเทศ อาทิ ไต้หวัน จีน ซึ่งปีนี้จะขยายตลาดไปยังยุโรปและตะวันออกกลางมากขึ้น พร้อมทั้งเตรียมสร้างแบรนด์ของตัวเอง โดยในเดือน เม.ย.ปีนี้ จะรีลอนช์แบรนด์ไร่บุญรอดใหม่ทั้งหมด ทั้งในแง่ของสินค้าใหม่ๆ และการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ รวมทั้งทำตลาดเพื่อสร้างแบรนด์อย่างจริงจัง เพื่อรองรับแผนขยายตลาดสินค้าเกษตรในอนาคต

ทั้งนี้ หลังจากเปิดเข้าชมเป็นแหล่งท่องเที่ยวตั้งแต่ 24 พ.ย. 2555 ที่ผ่านมา ปัจจุบันมีผู้เข้าชมเฉลี่ย 300-400 คนต่อวัน แต่ในระยะยาวเมื่อเป็นที่รู้จักและเพิ่มเติมบริการอื่นๆ ให้ครบวงจรมากขึ้น เชื่อว่าจะมีผู้เข้าชมเพิ่มขึ้นเป็นไม่ต่ำกว่า 1,000 คนต่อวัน พร้อมทั้งคาดหมายว่าภายใน 3 ปี รายได้จะเพิ่มเป็น 500-600 ล้านบาท

แนวทางทั้งหมดนี้ เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของ สันติ ภิรมย์ภักดี วางไว้ว่า สิงห์ปาร์ค เชียงราย ต้องเป็นสถานที่ที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ ซึ่งระยะแรกตัวเลขรายได้ไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่การดำเนินธุรกิจต้องสามารถหล่อเลี้ยงตัวเองได้ และหากพิจารณาตามแผนงานที่วางไว้แล้ว เมื่อนั้นรายได้ย่อมตามมาในที่สุด

ข่าวล่าสุด

ผลบอล โยเคเรสซัดโทษ! อาร์เซน่อล1-0 เอฟเวอร์ตัน,ลิเวอร์พูล 2-1