คปภ.ยันบังคับเงินกองทุน140%

มีผล1ม.ค.ให้นักลงทุนมั่นใจเปิดทางพร้อมช่วยเป็นกรณี

คปภ.เข้มรับปีใหม่ ยันบังคับใช้เกณฑ์เงินกองทุนตามเดิม 140% แถมไม่ต่ออายุผ่อนผันตั้งสำรองน้ำท่วม

นายประเวช องอาจสิทธิกุล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า ทาง คปภ.ยืนยันที่จะให้บริษัทประกันวินาศภัยใช้เกณฑ์อัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (Capital Adequacy Ratio : CAR) ที่ระดับ 140% เหมือนเดิม ซึ่งได้มีผลบังคับใช้ไปแล้วเมื่อวันที่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมา และจะไม่ขยายระยะเวลาการจัดสรรเงินสำรองสำหรับค่าสินไหมทดแทนน้ำท่วมของบริษัทประกันวินาศภัยที่ 60% ที่ครบกำหนดผ่อนผันในเดือน มี.ค.นี้ โดยจะให้กลับมาสำรองตามปกติเต็ม 100% เหมือนเดิม

อย่างไรก็ตาม หากบริษัทประกันรายใดมีความจำเป็น และไม่สามารถปฏิบัติตามที่กำหนดได้ ก็สามารถแจ้งเรื่องมายัง คปภ. ซึ่งก็ต้องพิจารณาเป็นกรณีไป ไม่สามารถทำเป็นภาพรวมได้ทั้งหมด

“การใช้เรื่องเงินกองทุนเป็นตัววัด จะไม่ทุกประเทศใช้ เราใช้เพราะต้องการมีความเข้มงวดความเพียงพอของเงินกองทุน ทางธปท.จะเริ่มใช้บาเซิล ทรีกับแบงก์พาณิชย์แสดงถึงความมั่นคงของระบบการเงินของไทย จึงต้องทำให้นักลงทุนเกิดความมั่นใจด้วย เพราะสิ่งซึ่งเราทำได้ พูดได้เต็มปากทำให้ผู้สนใจเข้ามาลงทุนหรือทำธุรกรรมกับสถาบันการเงินไทยกับบริษัทประกันภัยไทย ผู้รับประกันต่อมีความมั่นใจในระบบของเรา ตอนน้ำท่วมนักลงทุนถามเรามามากว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร เขามีความกังวลเรื่องนี้ การที่ คปภ.ผ่อนผันกฎเกณฑ์บางอย่าง ทำให้เรามีความอ่อนแอเพิ่มหรือไม่ เขาจับตามดูอยู่ ถ้าเราทำได้ ใช้เกณฑ์ความเพียงพอของเงินกองทุน เราควรประกาศให้ทุกคนรู้ เป็นการ สร้างความมั่นใจให้กับบริษัทประกันต่างประเทศ สถาบันการเงินต่างประเทศเข้ามามากขึ้น ให้มีความมั่นใจมากขึ้นโดยเฉพาะเรื่องการรับประกันภัยต่อ” นายประเวช กล่าว

นายจีรพันธ์ อัศวะธนกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวว่า ทางสมาคมจะเสนอเรื่องไปยัง คปภ. เพื่อขอขยายระยะเวลาการจัดสรรเงินสำรองสำหรับค่าสินไหมทดแทนน้ำท่วมของบริษัทประกันวินาศภัยที่ 60% ออกไปถึงสิ้นปีนี้ เพราะบริษัทประกันส่วนใหญ่ยังมีปัญหาเรื่องการจัดการค่าสินไหมจากน้ำท่วม และคาดว่าจะเสร็จสิ้นประมาณสิ้นปีนี้

สำหรับการใช้เกณฑ์อัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนที่ 140% ไม่มีปัญหา เนื่องจากได้มีการเตรียมตัวมาได้ประมาณ 2 ปีแล้ว และหากบริษัทไหนไม่สามารถทำได้ ก็ต้องแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มทุน หรือส่งงานให้กับประกันภัยต่อเพื่อลดความเสี่ยงลง ซึ่งในส่วนของบริษัทขนาดใหญ่หรือบริษัทต่างชาตินั้นคงไม่มีปัญหา มีเงินทุนเพียงพอแน่ แต่ที่อาจมีปัญหาคงเป็นบริษัทขนาดเล็กที่มีอัตราเติบโตเกินตัว จนส่งผลกระทบต่อเงินกองทุนมากกว่า

นายพนัส ธีรวณิชย์กุล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย กล่าวว่า ในส่วนของบริษัทไม่มีปัญหา ถ้าไม่ผ่อนผันเรื่องการจัดสรรเงินสำรองสำหรับค่าสินไหมทดแทนน้ำท่วมของบริษัทประกันวินาศภัยที่ 60% ออกไปอีก ตัวอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนก็จะอยู่ที่ 300% แต่หากมีการผ่อนผันก็จะอยู่ที่ 400% เกินเกณฑ์ที่ คปภ.กำหนดอยู่แล้ว