ทิศทางการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ในทัศนะของ OECD
....ยุทธศักดิ์ คณาสวัวสดิ์
ทรัพยากรมนุษย์นับว่าสำคัญมากในการพัฒนาประเทศไปสู่การเป็นระบบเศรษฐกิจฐานความรู้และเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ ทั้งในฐานะที่เป็นปัจจัยการผลิตและในฐานะที่เป็นปัจจัยพื้นฐานของการดำรงชีวิตของประชากรในประเทศ ดังนั้น ประเทศต่างๆ จึงได้ให้ความสำคัญในด้านพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นอย่างมาก รวมถึงประเทศไทยด้วย
ซึ่งแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 ซึ่งใช้ระหว่างปี 2540
–2544 ประเทศไทยได้ปรับเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาประเทศครั้งใหญ่ มาเป็นทิศทางการพัฒนาประเทศโดยเน้นคนเป็นศูนย์กลาง และยังคงเป็นทิศทางหลักในการพัฒนาประเทศมาจนถึงปัจจุบันสำหรับแนวทางการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์นั้น จากการศึกษาขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organization for Economic Cooperation and Development OECD) ได้จำแนกออกเป็น 4 มาตรการหลัก คือ
มาตรการประการแรก การศึกษาในระบบโรงเรียน โดยเฉพาะความสามารถในการอ่านออกเขียนได้และคณิตศาสตร์ซึ่งนับว่าสำคัญมาก เนื่องจากเป็นฐานสำหรับเรียนรู้ในขั้นต่อไป โดยได้เสนอแนะประเทศต่างๆ ว่าควรพิจารณาขยายการศึกษาภาคบังคับอย่างต่ำถึงระดับมัธยมต้น ควบคู่ไปกับปรับปรุงระบบคุณภาพและประสิทธิภาพในระดับอุดมศึกษา
มาตรการประการที่สอง การพัฒนาทักษะของแรงงาน เป็นการฝึกอบรมให้เรียนรู้ทักษะเฉพาะทางที่วิสาหกิจนั้นๆ ต้องการ ซึ่งมักประสบปัญหาความล้มเหลวของตลาด (Market Failure) ทำให้ใช้จ่ายในด้านนี้น้อยกว่าระดับที่เหมาะสม กล่าวคือ แม้วิสาหกิจตระหนักว่าหากฝึกอบรมแล้วจะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายที่สูญเสียไป เนื่องจากพนักงานสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงาน แต่กลับจะไม่ฝึกอบรมมากเท่าที่ควร เนื่องจากเกรงว่าฝึกอบรมแล้ว พนักงานลาออกไป จะทำให้เสียค่าใช้จ่ายอย่างสูญเปล่า ซึ่งเป็นปัญหาไม่เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่เกิดขึ้นในทุกประเทศ
เพื่อแก้ไขปัญหานี้ รัฐบาลประเทศต่างๆ ได้สนับสนุนการฝึกอบรมเฉพาะทางในรูปแบบต่างๆ เช่น สิทธิและประโยชน์ในด้านภาษีอากร เงินอุดหนุน กองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน ฯลฯ ซึ่งกรณีของประเทศไทย คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้กำหนดมาตรการที่เรียกในชื่อว่า
“การพัฒนาทักษะ (Skill) เทคโนโลยี (Technology) และนวัตกรรม (Innovation)” หรือที่เรียกย่อๆ ว่า STI โดยหากลงทุนในด้านการพัฒนาบุคลากรในด้านเทคโนโลยีระดับสูง หรือบริจาคเงินแก่กองทุนเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีและบุคลากรแล้ว ก็จะอยู่ในข่ายได้รับสิทธิและประโยชน์เพิ่มเติมในขณะเดียวกันความรู้เป็นสิ่งที่ไม่หยุดอยู่กับที่ แต่มีการพัฒนาตัวเองตลอดเวลา ดังนั้น ความรู้ใหม่ๆ ได้เพิ่มพูนขึ้น ขณะเดียวกันความรู้ที่มีอยู่แล้วก็ล้าสมัยอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ในการพัฒนาประเทศจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องพัฒนาแนวคิดการเรียนรู้ตลอดชีพ (Life Long Learning) ให้ฝังรากในวัฒนธรรมของประเทศนั้นๆ โดยภาครัฐควรส่งเสริมให้ประชาชนฝึกอบรมเพิ่มเติมและศึกษาค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง
มาตรการประการที่สาม การพัฒนาสุขภาพของประชาชน เนื่องจากเป็นปัจจัยสำคัญมากต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เนื่องจากประเทศใดที่มีประชาชนแข็งแรง ประเทศนั้นๆ ก็จะมีแรงงานที่สามารถทำงานได้อย่างแข็งขันมากขึ้น เนื่องจากเจ็บป่วยลดลง ส่งผลทำให้ผลิตภาพของประเทศสูงขึ้นและค่าใช้จ่ายที่จะต้องสูญเสียไปจากการรักษาพยาบาลลดลงตามไปด้วย
มาตรการประการที่สี่ นโยบายด้านแรงงานที่เอื้ออำนวยให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างแรงงานกับภาคธุรกิจเพื่อให้สามารถนำความรู้และทักษะของแรงงานมาใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าและก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ได้เสนอแนะว่าควรประกอบด้วยมาตรการ ดังนี้
ควรกำหนดมาตรฐานการจ้างงานให้อยู่ในระดับสูง โดยต้องปฏิบัติตามหลักการสิทธิมนุษยชนและสิทธิของผู้ใช้แรงงาน
ควรกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำและสวัสดิการแรงงานในระดับที่เหมาะสม โดยไม่มากจนเกินไป เนื่องจากจะส่งผลกระทบทางลบต่อประสิทธิภาพของตลาดแรงงาน
ส่งเสริมในด้านแรงงานสัมพันธ์ ให้ฝ่ายนายจ้างและลูกค้าเจรจาต่อรองบนพื้นฐานที่อำนาจต่อรองสมดุลกัน ไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอำนาจต่อรองมากจนเกินกัน พร้อมกับมีกระบวนการไกล่เกลี่ย เมื่อทั้งสองฝ่ายไม่สามารถเจรจาตกลงกันได้
ลดขั้นตอนอนุมัติอนุญาตการทำงานของผู้เชี่ยวชาญชาวต่างชาติ เพื่อส่งเสริมให้เกิดสมองไหลเข้าประเทศ (Brain Gain) ซึ่งจะก่อให้เกิดการถ่ายทอดความรู้และทักษะแก่แรงงานภายในประเทศ


