ยุทธศาสตร์ อายิโนะโมะโต๊ะ ดิ้นสู้ฟัดลุยตลาดใหม่เสริมแกร่ง
หากเอ่ยถึงชื่อ อายิโนะโมะโต๊ะ แน่นอนว่าผู้บริโภคชาวไทยต้องนึกถึงผงชูรส เนื่องจากเป็นสินค้าชนิดแรกของกลุ่มบริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ
หากเอ่ยถึงชื่อ อายิโนะโมะโต๊ะ แน่นอนว่าผู้บริโภคชาวไทยต้องนึกถึงผงชูรส เนื่องจากเป็นสินค้าชนิดแรกของกลุ่มบริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ
ประเทศญี่ปุ่น ที่เข้ามาปักธงในเมืองไทยนานถึง 53 ปี และครองตลาดผงชูรสในประเทศไทยอย่างเหนียวแน่นยาวนานด้วยส่วนแบ่งกว่า 90% จากมูลค่าการตลาดรวมกว่า 1 หมื่นล้านบาท
จนกระทั่งวันนี้ แม้ว่าจะมีคู่แข่งเข้ามาในตลาดเพิ่มขึ้น แต่อายิโนะโมะโต๊ะยังสามารถครองความเป็นผู้นำตลาดได้ แต่สิ่งที่เป็นความท้าทายของยักษ์ใหญ่จากแดนอาทิตย์อุทัยรายนี้ กลับเป็นการแข่งขันกับตัวเองเพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปัจจุบันมีรายได้รวมกว่า 3 หมื่นล้านบาท
เหตุผลหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าอายิโนะโมะโต๊ะกำลังเผชิญความท้าทายครั้งสำคัญคือ การที่ตลาดผงชูรสในประเทศไทยมีอัตราการเติบโตคงที่และมีแนวโน้มลดลง ทำให้อายิโนะโมะโต๊ะต้องแสวงหาหนทางใหม่ที่จะดำเนินธุรกิจอย่างแข็งแกร่งต่อไป
“ตลาดผงชูรสเมืองไทย ยอมรับว่า เติบโตน้อยในกลุ่มของลูกค้ารายย่อย แต่ในส่วนของกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมยังเติบโตได้ดี และเราก็เป็นผู้นำตลาดนี้เช่นกัน โดยมีผลิตภัณฑ์วัตถุปรุงแต่งรสอาหารไรโบนิวคลีโอไทด์ ภายใต้ชื่อ อายิไทด์ ไอพลัสจี อยู่ในตลาดนี้” ทองดี ปาโส ผู้จัดการโรงงานกำแพงเพชร บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) กล่าว
ขณะเดียวกัน จากความท้าทายที่กล่าวข้างต้น และนโยบายของบริษัทแม่ประเทศญี่ปุ่นที่ยังคงยืนยันการลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทมีแผนขยายการลงทุนใหม่ๆ ในประเทศไทยเพิ่มขึ้น ทั้งการขยายไลน์สินค้ากลุ่มเดิมด้วยการเพิ่มความหลากหลายของสินค้า และการลงทุนตั้งโรงงานใหม่และผลิตสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาด เนื่องจากบริษัทแม่ประเทศญี่ปุ่นมีสินค้าอาหารและเครื่องดื่มอีกมากที่พร้อมเข้ามาทำตลาดเมืองไทย
ทั้งนี้ ล่าสุดบริษัทได้ใช้งบลงทุน 6,000 ล้านบาท ก่อสร้างโรงงานผลิตผงชูรสแห่งใหม่เป็นแห่งที่ 3 ที่ อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา บนเนื้อที่ 1,400 ไร่ จากเดิมมีโรงงานพระประแดง (ก่อตั้ง พ.ศ. 2503) และโรงงานกำแพงเพชร 1 (ก่อตั้ง พ.ศ. 2541) คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือน เม.ย..2556 มีกำลังการผลิต 7 หมื่นตัน/ปี
การขยายโรงงานใหม่ดังกล่าว เพื่อรองรับความต้องการการบริโภคผงชูรสในประเทศอย่างต่อเนื่อง และยังเป็นการวางยุทธศาสตร์เพื่อรองรับแผนขยายตลาดต่างประเทศนับจากนี้ โดยโรงงานที่กำแพงเพชรจะหันไปเน้นผลิตเพื่อส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ พม่า ลาว กัมพูชา
“เมื่อตลาดในประเทศเติบโตลดลง เราต้องมองหาตลาดใหม่ที่มีโอกาสเติบโตสูง โดยเฉพาะกัมพูชาที่บริษัทลงทุนเปิดโรงงานแบ่งบรรจุแล้วด้วยงบลงทุน 300 ล้านบาท และจะเริ่มเปิดตลาดในประเทศพม่าในปีนี้ จากนั้นจะพิจารณาตั้งโรงงานแบ่งบรรจุในพม่าภายใน 12 ปีจากนี้ ด้วยงบลงทุนประมาณ 300 ล้านบาทเช่นกัน” ทองดี ย้ำ
ปัจจุบัน บริษัทมีกำลังการผลิตรวมของผงชูรสประมาณ 1 แสนตัน/ปี แบ่งเป็น โรงงานพระประแดง มีกำลังการผลิตประมาณ 6 หมื่นตัน และโรงงานกำแพงเพชร ประมาณ 4 หมื่นตัน เมื่อโรงงานใหม่ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา สามารถผลิตได้ในปีหน้าจะส่งผลให้บริษัทมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 1.7 แสนตัน เชื่อมั่นว่าจะรองรับแผนการบุกตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศได้
นอกจากสินค้ากลุ่มผงชูรสที่มีการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องแล้ว เร็วๆ นี้บริษัทก็จะลงทุนขยายโรงงานผลิตผงปรุงรส ตรารสดี ที่โรงงานหนองแค จ.สระบุรี เพิ่มขึ้นด้วย โดยอยู่ระหว่างการสรุปเม็ดเงินการลงทุนและแผนงานทั้งหมด
ขณะเดียวกัน ยังมองหาช่องทางการทำตลาดสินค้ากลุ่มใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย โดยเมืองไทยมีหน่วยงานวิจัยและพัฒนาสินค้าที่ทำงานตลอดเวลา เพื่อเสนอสินค้าสำหรับผู้บริโภคเมืองไทย โดยสินค้าใหม่ที่เห็นว่ามีโอกาสในการทำตลาดอีกประเภทหนึ่ง คือ เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพและให้พลังงานที่มุ่งจับกลุ่มเป้าหมายนักกีฬาโดยเฉพาะ
ทองดี กล่าวต่อว่า แม้ว่าค่าจ้างแรงงานของไทยจะเพิ่มขึ้นและส่งผลต่อต้นทุนการดำเนินธุรกิจ แต่สำหรับบริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ แล้วถือว่ากระทบไม่มากนัก เนื่องจากค่าจ้างของบริษัทเกิน 300 บาทอยู่แล้ว และเมื่อเทียบศักยภาพของโรงงานในประเทศไทยแล้ว ยังถือว่าได้เปรียบกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากแรงงานมีทักษะความชำนาญมากกว่า
จากข้อได้เปรียบของประเทศไทยนี่เอง ทำให้ในอนาคตประเทศไทยมีโอกาสที่จะได้รับเลือกให้เป็นฐานผลิตสำหรับส่งออกไปยังภูมิภาคอาเซียน และเป็นการเตรียมพร้อมรับกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ในปี 2558 ที่จะถึงนี้ โดยปัจจุบันสินค้ากลุ่มไลซีน หรืออาหารสัตว์ ถือว่าไทยเป็นฐานการผลิตใหญ่ของญี่ปุ่นอยู่แล้ว และอีกกลุ่มสินค้าที่มีโอกาสเป็นฐานผลิตสำคัญในอนาคตคือ กลุ่มผงปรุงรส รสดี และเครื่องดื่มเบอร์ดี้ เป็นต้น
สำหรับปัญหาน้ำท่วมที่เคยเกิดขึ้นปี 2554 นั้น บริษัทได้รับความเสียหายน้อยมาก ยกเว้นโรงงานผลิตในนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร ที่ได้รับความเสียหายทั้งหมด และตอนนี้ยังไม่มีแผนฟื้นฟูโรงงาน แต่จะมุ่งไปที่การก่อสร้างโรงงานใหม่แห่งที่ 3 และขยายโรงงานหนองแคเพื่อผลิตสินค้ากลุ่มเครื่องดื่มและผงปรุงรสแทน โดยปีนี้บริษัทจะใช้ประสบการณ์จากปีก่อนมาปรับใช้เพื่อป้องกันความเสี่ยง
โดยโรงงานและคลังสินค้าที่ จ.ปทุมธานี สามารถป้องกันไว้ได้ในขณะที่โรงงานอื่นรอบข้างโดนน้ำท่วมทั้งหมด ดังนั้นในปีนี้จะปรับแผนงานให้เข้ากับสถานการณ์และเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเน้นการกระจายความเสี่ยงจากการวางแผนสต๊อกสินค้าในคลังใหญ่ของแต่ละภาคที่ จ.ขอนแก่น สุราษฎร์ธานี และกำแพงเพชร
บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ ยังได้จัดกิจกรรมเยี่ยมชมโรงงานกำแพงเพชร เพื่อแสดงให้เห็นถึงการเลือกสถานที่ก่อตั้งที่เหมาะสม เนื่องจากกำแพงเพชรเป็นแหล่งวัตถุดิบสำคัญคือ มันสำปะหลังและอ้อย โดย อายิโนะโมะโต๊ะ ใช้แป้งสูงถึง 2.53 แสนตัน/ปี ถือเป็นผู้ใช้แป้งมันสำปะหลังมากเป็นอันดับ 1 ของประเทศ หรือประมาณ 20% ของผลผลิตทั้งหมด
นอกจากนั้น กลุ่มบริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ ในประเทศไทย ตระหนักและใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อม เห็นได้จากการก่อตั้ง บริษัท เอฟ ดี กรีน (ประเทศไทย) ขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2544 เพื่อเป็น “บริษัทต้นแบบทางธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อม” ของกลุ่มบริษัทในการจัดการกับ “ผลิตภัณฑ์ร่วม” ที่ได้จากกระบวนการแยกผลึกของผงชูรส
จากนั้นจึงนำมาปรับปรุงและพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อประโยชน์ทางการเกษตรได้อีกหลายชนิด เช่น วัสดุปรับปรุงดินชนิดน้ำ ภายใต้แบรนด์ อามิอามิ, ปุ๋ยอินทรีย์เคมีชนิดเม็ดคุณภาพสูงใช้ได้กับพืชหลากหลายชนิด ภายใต้แบรนด์ อามิเมท, ปุ๋ยเคมีชนิดน้ำใช้ฉีดพ่นพืชทางใบ ภายใต้แบรนด์ อายิโฟล, อาหารเสริมโปรตีนสำหรับสัตว์ ภายใต้แบรนด์ อายิทีน เป็นต้น
จนถึงปัจจุบัน กลุ่มบริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) มีบริษัทในเครือกว่า 20 บริษัท มีโรงงานผลิตรวม 17 แห่งใน 9 จังหวัด โดยในจำนวนนี้เป็นโรงงานที่เป็นฐานผลิตสำคัญ 5 แห่ง คือ โรงงานพระประแดง ผลิตผงชูรส กาแฟผงเบอร์ดี้ น้ำตาลไลท์ ชูการ์ โรงงานปทุมธานี โรงงานหนองแคผลิตรสดี กาแฟพร้อมดื่มเบอร์ดี้ โรงงานกำแพงเพชร 1 ผลิตผงชูรส และโรงงานกำแพงเพชร 2 ผลิตวัตถุปรุงแต่งรสอาหารไรโบนิวคลีโอไทด์ ภายใต้ชื่อ อายิไทด์ ไอพลัสจี สำหรับอุตสาหกรรมอาหาร


