posttoday

DSGT

17 กรกฎาคม 2555

วานนี้นักวิเคราะห์ของเราได้แนะนำหุ้นตัวใหม่ที่ดิฉันเห็นว่าน่าสนใจสำหรับนักลงทุนประเภทซื้อเพื่อการลงทุนจริงๆ

โดย...จิตรา อมรธรรม

วานนี้นักวิเคราะห์ของเราได้แนะนำหุ้นตัวใหม่ที่ดิฉันเห็นว่าน่าสนใจสำหรับนักลงทุนประเภทซื้อเพื่อการลงทุนจริงๆ ไม่เหมาะกับการเก็งกำไรระยะสั้น เพราะไม่มีประเด็นอะไรหวือหวาเร้าใจในระยะนี้ ธุรกิจของหุ้นตัวนี้เติบโตได้เรื่อยๆ ไม่ว่าภาวะเศรษฐกิจจะขึ้นหรือลง เพราะเป็นของจำเป็นต้องใช้ ใช้แล้วทิ้ง ต้องซื้อใหม่ ต่อให้ตลาดไม่โตยอดขายของบริษัทก็ไม่หดตัว ธุรกิจเช่นนี้จัดเป็นลักษณะ Defensive ที่ถือว่ามั่นคงทีเดียว ถ้าบริษัทไม่ได้ขยายการลงทุนผิดที่ผิดทางไปเสียก่อน ดิฉันหมายถึง DSGT ค่ะ

หุ้นตัวนี้ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “ของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์” กำไรค่อยๆ เติบโตจากระดับ 100 กว่าล้านบาทในปี 2549 เป็น 200 กว่าล้านบาทในปี 2551 และเป็น 300 กว่าล้านบาทในช่วงปี 25522554 ฐานะทางการเงินจัดว่าแข็งแรง หนี้ต่ำ แต่หุ้นกลับไม่ค่อยได้รับความสนใจมากนักในอดีต ด้วยสภาพคล่องในการซื้อขายต่ำมาก (มีทุนชำระแล้ว 600 ล้านหุ้น มี Free Float 25% ผู้ถือหุ้นใหญ่คือ DSG International Limited ถือ 66% และ Somers 10%) ในปี 2553 มีการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพียง 3 แสนกว่าหุ้น แต่หลังจากที่บริษัทจ่ายปันผลเป็นหุ้น (1 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นปันผล) และลูกหุ้นเข้าซื้อขายตั้งแต่ปี 2554 สภาพคล่องจึงดีขึ้น ปัจจุบันซื้อขายเฉลี่ยต่อวันประมาณ 1 ล้านหุ้น

DSGT ผลิตผ้าอ้อมสำเร็จรูปทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โดยใช้ยี่ห้อเบบี้เลิฟ, เบบี้เลิฟ เพลย์แพนท์ส, เพ็ท เพ็ท, และฟิตตี้ สำหรับผ้าอ้อมเด็ก ส่วนผ้าอ้อมผู้ใหญ่มียี่ห้อเซอร์เทนตี้และเซอร์เทนตี้ แอคทีฟ บริษัทมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ในประเทศไทยสำหรับผ้าอ้อมสำเร็จรูปผู้ใหญ่ และเป็นอันดับ 2 สำหรับผ้าอ้อมสำเร็จรูปเด็ก บริษัทไม่ได้จำหน่ายอยู่แต่ในประเทศเท่านั้น แต่ยังมีการจัดจำหน่ายในอีก 3 ประเทศ คือ มาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย ผ่านการดำเนินงานของบริษัทย่อยที่ตั้งโรงงานอยู่ในประเทศดังกล่าว

การเติบโตของผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับเด็กเป็นไปในทิศทางที่แข็งแกร่งในตลาดทุกๆ ประเทศ เพราะเป็นสินค้าสิ้นเปลืองและจำนวนประชากรของแต่ละประเทศที่เพิ่มขึ้นในทุกๆ ปี สำหรับผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับผู้ใหญ่ยังคงสามารถเติบโตได้ต่อเนื่องเช่นกันจากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัดส่วนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น โดยประเทศไทยกับสิงคโปร์มีสัดส่วนของประชากรสูงอายุ (อายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป) สูงที่สุดในเอเชีย ขณะที่ประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซียกำลังจะมีสัดส่วนของประชากรสูงวัยเพิ่มสูงขึ้นในช่วงเวลาต่อจากนี้

ปัจจุบัน DSGT มีสัดส่วนรายได้จากไทยและมาเลเซียรวมกันประมาณ 95% ของรายได้รวม ในขณะที่รายได้จากอินโดนีเซียมีสัดส่วนเพียง 3% เท่านั้น แต่ถ้าดูจากจำนวนประชากรอินโดนีเซียที่มีมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน (อันดับ 4 ของโลก) ราว 240 ล้านคน (มากกว่าไทยกว่า 3 เท่า) และอัตราการเกิดยังสูงกว่าทั้งไทยและสิงคโปร์ โดยเป็นรองแค่มาเลเซียเท่านั้น (อินโดนีเซียมีอัตราการเกิด 2.2% ขณะที่ไทย 1.4%) ทั้งนี้ บริษัทได้เข้าไปลงทุนในอินโดนีเซียแล้ว ตั้งแต่ปี 2540 ในรูปแบบกิจการร่วมค้า และได้เข้าซื้อหุ้นและบริหารเองทั้งหมดในปลายปี 2553 เรามองว่าอินโดนีเซียจะเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงสำหรับ DSGT ในอนาคต

FSS คาดว่า ผลการดำเนินงานของ DSGT จะยังคงเติบโตอย่างโดดเด่นและต่อเนื่องจากภาวะอุตสาหกรรมที่ยังคงสามารถขยายตัวได้ดี โดยคาดว่ารายได้ในปีนี้จะเติบโตราว 19% ซึ่งเป็นระดับที่บริษัทสามารถทำได้มาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา โดยเติบโตจากกลุ่มสินค้าผ้าอ้อมสำเร็จรูปเด็กเป็นส่วนใหญ่ราว 22% กลุ่มผ้าอ้อมสำเร็จรูปผู้ใหญ่เติบโตราว 6% และคาดว่าจะมีรายได้พิเศษจากการเคลมประกันจากน้ำท่วมอีกประมาณ 120 ล้านบาท ส่งผลให้กำไรสุทธิทั้งปีนี้น่าจะทำได้ 603 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 182% จากปีก่อน หากตัดรายการพิเศษจากการเคลมประกันน้ำท่วมออกไป กำไรปกติก็ยังเติบโตสูงถึง 17% เป็น 483 ล้านบาท และเป็นกำไรที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และคาดว่ากำไรในปีหน้าก็ยังขยายตัวต่ออีก 16%

ราคาหุ้นขยับขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจากที่เคยอยู่ที่ 4–5 บาท ในปี 2553 เป็น 7–9 บาทในปีก่อน และปัจจุบันที่ 12.20 บาท คิดเป็น PE 12 เท่า ไม่ถือว่าแพงเมื่อเทียบกับกำไรที่จะเติบโต 17% ในปีนี้ นักวิเคราะห์ของเราประเมินราคาพื้นฐานที่ 16 บาท ส่วนเงินปันผลคาดไว้ประมาณ 1.50 บาทค่ะ

ข่าวล่าสุด

วปอ.68 มอบตาข่ายป้องกันโดรน ทิ้งระเบิด และสิ่งของ ช่วยทหารชายแดนภาค 2