หลุยส์วิตตองเลือก‘เกษร’เปิดลาเมซง
“หลุยส์ วิตตอง” ยึดศูนย์การค้าเกษร ผุดร้านคอนเซปต์ “ลา เมซง” แห่งแรกในไทย ดันกรุงเทพฯ ขึ้นชั้น “ซิตี เซ็นเตอร์”
“หลุยส์ วิตตอง” ยึดศูนย์การค้าเกษร ผุดร้านคอนเซปต์ “ลา เมซง” แห่งแรกในไทย ดันกรุงเทพฯ ขึ้นชั้น “ซิตี เซ็นเตอร์”
นายชาญ ศรีวิกรม์ ประธานกรรมการ บริษัท เกษร แลนด์ แอสเซท แมนเนจเม้นท์ ผู้บริหารศูนย์การค้าเกษร เปิดเผยว่า กลุ่มแอลวีเอ็มเอชผู้ครอบครองสินค้าแบรนด์เนมระดับหรู อาทิ หลุยส์ วิตตอง คริสเตียน ดิออร์ และกลุ่มสินค้าแบรนด์ชั้นนำต่างประเทศ เตรียมเปิดร้านค้าแนวคิด “ลา เมซง” แห่งแรกและแห่งเดียวที่ศูนย์การค้าเกษร
ทั้งนี้ ในยุโรปโดยเฉพาะในประเทศฝรั่งเศส จะใช้แนวคิดร้านค้ารูปแบบ “ลา เมซง” ซึ่งแปลว่าบ้าน เพื่อทำตลาดในต่างประเทศเพียง 1 แห่ง ใน 1 ประเทศ โดยรูปแบบ ลา เมซง มาจากการที่สินค้าแบรนด์เนมหรูหราส่วนใหญ่ มีต้นกำเนิดหรือผลิตขึ้นจากอุตสาหกรรมภายในครอบครัว หรือ เฮาส์ ทำให้แนวคิดร้านรูปแบบนี้ที่เปิดให้บริการในแต่ละประเทศจะแตกต่างไปจากแฟล็กชิปสโตร์ทั่วไป โดยร้านหลุยส์ วิตตองใหม่ที่เกษรจะเพิ่มพื้นที่เป็น 1,000 ตร.ม. จากเดิม 600 ตร.ม.
“ร้านสาขาหลุยส์ วิตตอง รูปแบบใหม่ที่เตรียมเปิดที่เกษร จะเป็นคอนเซปต์เดียวกับที่ฮ่องกง และเซี่ยงไฮ้ ที่วางสินค้าคอลเลกชันรุ่นใหม่ๆ และเพิ่มไลน์สินค้ากลุ่มแอกเซสซอรีด้วย” นายชาญ กล่าว
การแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจศูนย์การค้าทำเลใกล้เคียงนำสินค้าแบรนด์เนมหรูหราจากต่างประเทศเข้ามาทำตลาดมากขึ้น ทำให้เกษรต้องยกระดับขึ้นไป ภายใต้แนวคิด “เกษร เดอะเฮาส์ ออฟ ลักซ์” เน้นความเป็นส่วนตัวในการจับจ่ายของกลุ่มเป้าหมายระดับบน
นอกจากนี้ ร้านสาขารูปแบบลาเมซง ยังมีความหลากหลายของกลุ่มสินค้า(เมอร์ชันไดซ์)ที่แตกต่างไปจากร้านสาขาแฟล็กชิพอีกด้วย ซึ่งจะยังมีกลุ่มสินค้าสำหรับนักท่องเที่ยว หรือ ทราเวลลิง ไอเท็ม เข้ามาเสริม เพื่อรองรับกลุ่มเป้าหมายกำลังซื้อใหม่ที่จะเข้ามาในไทยเพิ่มขึ้นจำนวนมากในอนาคต จากการขยายตัวของเมืองหลวงที่จะมีความหนาแน่นสูง ทั้งผู้อยู่อาศัยและนักท่องเที่ยว
ขณะที่ราคาสินค้าแบรนด์เนมหรูทั่วโลก เริ่มปรับกลยุทธ์ราคาให้มีระดับใกล้เคียงในทุกประเทศที่ทำตลาดแล้ว รวมถึงสิทธิ์ในการคืนเงินภาษีสินค้าของนักท่องเที่ยว ที่ช่วยให้ค้าปลีกกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมหรูในไทยสามารถแข่งขันได้กับประเทศที่ปลอดภาษี(ดิวตี ฟรี) เพื่อดึงดูดกำลังซื้อจากนักท่องเที่ยวในเอเชีย เช่น ฮ่องกง และสิงคโปร์ เป็นต้น
ขณะที่การปรับโฉมศูนย์การค้า และนำเข้าแบรนด์เนมสินค้าหรูหรามาทำตลาดในไทยมากขึ้น จะผลักดันให้กรุงเทพฯ มีภาพลักษณ์ของความเป็นศูนย์กลางของเมืองใน ระดับโลก หรือ “ซิตี เซ็นเตอร์” ได้เช่นเดียวกับในย่านกินซ่า ในญี่ปุ่น หรือถนนออร์ชาร์ด สิงคโปร์


